การกลับมาของ“ทักษิณ ชินวัตร”หลังจากหลอกศาลขออนุญาตไปดูกีฬาโอลิมปิกที่ประเทศจีน แล้วหลบหนีเป็นสัมภเวสีอยู่ในต่างประเทศนานกว่า 15 ปี จะด้วยดีลลับอะไร หรือดีลลับลังกาวีอย่างที่มีการพูดถึงกันก็ตาม มีแต่ลางหายนะของประเทศรออยู่ข้างหน้า
ไอเดียบรรเจิดที่ผุดออกมาจากอดีตนักโทษคดีทุจริตโกงชาติโกงแผ่นดินผู้นี้ ดูเผินๆ เหมือนความเพ้อเจ้อที่ฟุ้งอยู่ในอากาศ แต่ในความเป็นจริงนั้นอำพรางผลประโยชน์ทับซ้อนไว้ทุกเรื่อง เป็นนโยบายประชานิยมในแบบ“ทักษิณ ชินวัตร” หรือการบริหารประเทศภายใต้ระบบ“ทักษิณโนมิกส์”สมัยรัฐบาลพรรคไทยรักไทย ก่อนจะถูกยึดอำนาจในวันที่ 19 กันยายน 2549
นั่นก็เพราะภายใต้การบริหารประเทศของรัฐบาลพรรคไทยรักไทยที่เป็นรัฐบาลพรรคเดียว โดยมี“ทักษิณ ชินวัตร”เป็นนายกรัฐมนตรี ด้วยระบบ“ทักษิโณมิกส์”นั้น ทักษิณและบริษัทในเครือชินฯมีแต่รวยขึ้นๆ จากนโยบายขายฝันให้แก่ประชาชน โดยเฉพาะประชาชนในระดับฐานล่างที่มีหนี้สินล้นพ้นตัว ซึ่งเป็นฐานคะแนนสำคัญของพรรคไทยรักไทยในจังหวัดภาคอีสานและภาคเหนือ อีกทั้งระบบประชานิยมแบบทักษิณ ก็ยังเต็มไปด้วยการทุจริตคอร์รัปชันในโครงการลงทุนของภาครัฐ
กรณีที่“ทักษิณ ชินวัตร”ไปพูดที่จังหวัดพิษณุโลก กับตัวแทนมวลชนคนเสื้อแดงภาคเหนือตอนล่างเมื่อวันที่ 17 มีนาคมสองวันก่อน เกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาหนี้สินของประชาชน ด้วยการจะซื้อหนี้ของประชาชนออกจากระบบธนาคารนั้น ก็คือแนวคิดในแบบฉบับของระบบ“ทักษิโณทิกส์”นั่นเอง
“ทักษิณ ชินวัตร” กล่าวโดยอ้างบุตรสาวบังหน้าว่า “ผมคิดกับนายกฯอิ๊งค์ ว่าทำอย่างไรจะให้หนี้สินคนไทยหมด เพราะวันนี้หนี้ครัวเรือนเยอะเหลือเกิน ผมก็ได้คิดดังๆ ย้ำว่าแค่คิดดังๆ ยังไม่ได้ทำ เราคิดว่าต่อไปเราจะซื้อหนี้ทั้งหมดของประชาชนออกจากระบบธนาคารดีไหม แล้วให้ประชาชนค่อยๆ ผ่อน ไม่ต้องชำระเต็มจำนวน มีโอกาสเริ่มต้นชีวิตใหม่ ยกออกจากเครดิตบูโรให้หมด ให้เป็นคนบริสุทธิ์ผุดผ่องทำมาหากินใหม่ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ไม่ต้องใช้เงินรัฐสักบาท เพราะสามารถให้เอกชนลงทุน วันนี้รัฐเป็นหนี้เยอะ เราเข้ามาหนี้ก็บานตะไทแล้ว วันนี้จะขยับอะไรทีก็เป็นหนี้ไปหมด เราต้องสร้างหนี้ให้น้อยที่สุด และสร้างโอกาสให้คนไทยมากที่สุด พูดง่ายทำยากแต่ต้องทำ”
พลันที่สิ้นเสียงของ“ทักษิณ ชินวัตร”ผู้ สทร.หรือเสือกทุกเรื่อง จึงมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ที่ไม่เห็นด้วยดังระงมไปทั่ว ยกเว้นนายพิชัย ชุรหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ซึ่งเป็นรัฐมนนตรีใน“คาถา”ของบ้านจันทร์ส่องหล้า ออกมาขานรับ และก็ไม่ใช่เรื่องแปลกที่ทุกครั้งเมื่อทักษิณไปพูดในเวทีไหน รัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทยตั้งแต่หัวคือ“มาดามแพทองโดย”ลงมาจนถึงรัฐมนตรีระดับหาง ต้อง“เด้งรับ”เจ้าของคอกที่เป็นนายกรัฐมนตรีตัวจริงกันเป็นทอดๆ แล้วนำไปปฏิบัติ
โดยนายพิชัย ชุณหวชิร ให้สัมภาษณ์ที่ทำเนียบรัฐบาลเมื่อวันที่ 18 มีนาคมที่ผ่านมาว่า “หลักการแก้ปัญหาหนี้ที่มีอยู่จำนวนมาก ปกติมี 2 - 3 วิธี อยู่แล้ว” พร้อมทั้งยกตัวอย่างประกอบ คือ การปรับโครงสร้างหนี้ และการแยกบัญชีจำแนกประเภทธนาคาร หรือใช้มาตรการส่งเสริมการจัดตั้งกิจการร่วมทุนเพื่อรองรับการแก้ไขปัญหาสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ (AMC)
ผู้สื่อข่าวถามว่ามาตรการดังกล่าวจะใช้กับลูกหนี้ที่มีหนี้เสีย (NPL) ใช่หรือไม่ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังผู้ซึ่งมีสายสัมพันธ์และรับใช้ใกล้ชิดกับตระกูลชินวัตรมาตลอดยอมรับว่า ครอบคลุมไปถึงผู้ที่เป็น“หนี้ดี”ด้วย อันจะรวมไปถึงหนี้บ้านและหนี้รถยนต์ โดยยอดเดิมของหนี้มีอยู่มากกว่า 1 พันล้านบาท
สำหรับเสียงวิพากษ์วิจารณ์นั้น ตามที่ได้ประมวลมาจากสังคมโชเชียล ต่างเห็นว่า ไอเดียกระฉูดของอดีตนักโทษคดีทุจริตโกงบ้านกินเมือง ก็คือการผลักภาระความล้มเหลวของธุรกิจเอกชนให้คนในชาติทั้งประเทศเข้าไปแบกรับ ซึ่งธนาคารพาณิชย์มีผลประกอบการที่สร้างกำไรมหาศาลได้ตลอดมา แต่เวลาขาดทุนทำไมรัฐจะต้องเข้าไปอุ้ม และอุ้มเพื่ออะไร หรือเพื่อประโยชน์ทับซ้อนของใครบางคนและพวกพ้อง ที่เป็นกลุ่มทุนและนักการเมือง
ทั้งนี้ นายนันทิวัฒน์ สามารถ อดีตรองผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ กล่าวถึงเรื่องนี้ในเฟซบุ๊ก“Nantiwat Samart”โดยเห็นว่า “ธนาคารที่มีอยู่ ไม่มีธนาคารไหนใหญ่พอแบกรับหนี้ยอดนี้ได้ จะตั้งธนาคารใหม่หรือสถาบันการเงินใหม่มาซื้อ ก็ติดขัดธนาคารแห่งประเทศไทย ว่ามีหลักเกณฑ์การตั้งธนาคารและสถาบันการเงิน หรือจะเอา non bank มาซื้อ หรือสุดท้ายเอาหนี้ไปขายต่างประเทศ อาทิ Black Rock หรือตะวันออกกลาง แปลว่า ไทยทั้งชาติเป็นหนี้ต่างชาติ ถ้าเป็นอย่างนี้ ไทยต้องจ่ายดอกเบี้ยในอัตราเท่าไร จะหาเงินต้นที่ไหนไปใช้หนี้ ไทยล้มละลายแน่นอน”
พร้อมกันนี้ อดีตรองผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติยังได้ตั้งข้อสังเกตว่า “หรือทั้งหมดนี้เป็นแค่การหาเสียง Lip Service เคาะกะลา เตรียมการยุบสภาฯเลือกตั้งใหม่”
สรุปก็คือ แนวคิดของ“ทักษิณ ชินวันวัตร”ในแบบฉบับของระบบ“ทักษิโณมิกส์”ที่อำพรางผลประโยชน์ทับซ้อน ด้วยการโอนหนี้ธนาคารพาณิชย์ของประชาชน มาเป็นหนี้ของประชาชนผู้เสียภาษีทั้งประเทศนั้น คือภาระของคนไทยที่จะต้องแบกรับหนี้สาธารณะที่เพิ่มขึ้นมาอีกไปจนถึงลูกถึงหลานในวันหน้า
เสียงวิพากษ์วิจารณ์ในโลกโซเชียลจึงบอกว่า “ทักษิณ ชินวัตร ชอบขายฝันหลอกชาวบ้านให้งอมืองอเท้า รอเงินแจกเสมือนเป็นคนไร้ค่า เอาเงินภาษีคนทำงานไปส่งเสริมให้คนงอมืองอเท้า ไม่รับผิดชอบตัวเอง รอแต่จะเอาเปรียบสังคม”
สำคัญที่สุด ถ้าหาก“ทักษิณ ชินวัตร”เอาเงิน“โกงพ่อมึงสิ”มา“ซื้อหนี้-ล้างหนี้”ให้แก่ประชาชน ย่อมจะมีแต่เสียงชื่นชมยินดีดังกึกก้องทั้งแผ่นดิน !
รุ่งเรือง ปรีชากุล
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี