ในเดือนเมษายนศกนี้ ประเทศไทยได้รับเกียรติให้เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมองค์การร่วมมือระดับภูมิภาค ความริเริ่มแห่งอ่าวเบงกอลสำหรับความร่วมมือหลากหลายสาขาทางวิชาการและเศรษฐกิจ (The Bay of Bengal Initiative for Multi-Sectoral Technical and Economic Cooperation – BIMSTEC) ซึ่งประชาชนพลเมืองโดยทั่วไปในประเทศสมาชิกรวมทั้งประเทศไทย มักจะไม่คุ้นกับองค์การนี้
เหตุเพราะอาจเป็นเพราะการอ่อนด้อยในเรื่องการประชาสัมพันธ์ และการให้ข้อมูลข่าวสารต่อประชาชนพลเมือง หรือไม่ก็เป็นเพราะองค์การนี้ไม่ค่อยมีผลงานให้เป็นที่ประจักษ์หรือจับต้องได้ ก็เป็นเรื่องที่บรรดารัฐบาลประเทศสมาชิก และโดยเฉพาะหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจำเป็นที่จะต้องนำไปปรับปรุงการทำงานเพื่อให้มีผลออกมาอย่างจริงจัง เป็นประโยชน์ต่อประชาชนพลเมืองทั้งหลาย โดยการให้ความรู้ และความตระหนักให้กับประชาชนพลเมืองอย่างกว้างขวาง เพราะประชาชนพลเมืองของประเทศสมาชิกองค์การ BIMSTEC นี้ หากนับรวมๆ กันแล้ว ก็มีจำนวนถึงกว่า 1,700 ล้านคน
BIMSTEC นั้นถูกจัดตั้งขึ้นเมื่อ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2540 (ค.ศ. 1997) มีสำนักงานกลางตั้งอยู่ที่กรุงธากา ประเทศบังกลาเทศ โดยเป็นองค์การร่วมมือของประเทศรอบๆ และใกล้กับอ่าวเบงกอล ซึ่งตั้งอยู่ทางส่วนตะวันออกเฉียงเหนือของมหาสมุทรอินเดีย ทั้งนี้ทะเลอันดามันของไทยเราก็เป็นส่วนหนึ่งของอ่าวเบงกอล
อ่าวเบงกอลอยู่ในเขตมรสุม หรือการเคลื่อนไหวของลมพายุในมหาสมุทรอินเดีย ที่นำฝนมาตกใน
บังกลาเทศ เมียนมา และไทยเป็นสำคัญ โดยอ่าวเบงกอลมีทรัพยากรทางสัตว์น้ำ มีน้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ และทรัพยากรธรรมชาติอื่นๆ ใต้ทะเลอย่างหลากหลาย จัดได้ว่าอุดมสมบูรณ์
การกระชับความร่วมมือระหว่างประเทศสมาชิกอันได้แก่ บังกลาเทศ ศรีลังกา อินเดีย ไทย เมียนมา เนปาล และภูฏาน เพื่อความเจริญก้าวหน้าร่วมกัน ประกอบไปด้วยเรื่องการเชื่อมโยงทางด้านการคมนาคมทั้งทางทะเล อากาศ และทางบก และการสื่อสารโทรคมนาคม ไปจนถึงท่อแก๊ส และน้ำมัน และระบบการเตือนภัยป้องกันและการฟื้นฟูภัยพิบัติทางธรรมชาติ การร่วมมือกันทางด้านการรักษาสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติ การส่งเสริมการสัญจรไปมาเพื่อการทำมาค้าขาย การร่วมมือกันทางด้านการศึกษาวิจัยค้นคว้า การใฝ่หาจุดร่วมแต่ประวัติศาสตร์ เพื่อเสริมสร้างความเข้าอกเข้าใจและมิตรไมตรีที่ดีต่อกัน เป็นต้น
นอกจากนั้น ก็มีการกระชับความร่วมมือในเรื่องที่เป็นประเด็นปัญหาเฉพาะหน้า เช่น เรื่องการอพยพหนีภัยของชาวชาติพันธุ์โรฮิงญาออกจากประเทศเมียนมา อันสืบเนื่องมาจากสภาวะสงครามกลางเมือง และลัทธิการเหยียดผิว เพื่อหนีไปสู่ประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะบังกลาเทศ อีกทั้งก็มีเรื่องของการก่อการร้ายที่มักจะมีสาเหตุจากความสุดโต่งในเรื่องชาติพันธุ์ และการนับถือศาสนา ไปจนถึงเรื่องการสร้างความสมดุลย์ระหว่างประเทศที่มีแรงงานเกิน และประเทศที่ขาดแรงงานเพื่อให้เกิดการปฏิบัติที่ยึดหลักมนุษยธรรมและความเที่ยงธรรม ซึ่งหมายถึงการที่จะต้องจัดทำระบบการส่งและรับแรงงานต่างด้าวร่วมกันให้เป็นระบบกลางของ BIMSTEC เพื่ออำนวยให้การร่วมมือทั้งภาคธุรกิจเอกชน และการคบหาสมาคมกันในระดับประชาชนต่อประชาชน โดยแต่ละรัฐบาลประเทศสมาชิกก็จะต้องเสริมสร้างความพร้อม เช่น ท่าเรือ ท่าอากาศยาน กิจการรถไฟ และถนนหนทาง
นอกจากนั้น การร่วมกันสำรวจสัตว์น้ำ และการประมงอย่างยั่งยืน ไปจนถึงการสำรวจทรัพยากรแร่ธาตุต่างๆ และการร่วมลงทุนเพื่อการนี้และแบ่งปันผลประโยชน์ก็เป็นเรื่องที่มีความสำคัญและจำเป็น และอีกเรื่องหนึ่งที่ต้องเร่งรีบก็คือ การรับมือกับภัยพิบัติทางธรรมชาติ โดยเฉพาะมรสุมและสึนามิ อีกทั้งการร่วมกันจัดตั้งกองเรือรบร่วม หรือกองเรือลาดตระเวนชายฝั่ง เพื่อรักษาความมั่นคงปลอดภัยและปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ เช่น การค้ามนุษย์ การค้าอาวุธเถื่อน และการค้าสิ่งต้องห้าม ที่เป็นส่วนหนึ่งของกฎเกณฑ์กติการะหว่างประเทศผ่านองค์การสหประชาชาติ
และในการร่วมมือต่างๆ เหล่านี้ ก็มีความจำเป็นที่แต่ละประเทศสมาชิกจะต้องร่วมมือกัน “ลงขัน” จัดตั้งกองทุนเพื่อการดำเนินการต่างๆ และปรึกษาหารือกับสถาบันการเงินระหว่างประเทศ เช่น ธนาคารโลก และธนาคารเพื่อการพัฒนาเอเชีย ไปจนถึงการประสานงานกับประเทศอื่นๆ แวดวงธุรกิจ และแวดวงภาคประชาสังคม เพื่อเสริมสร้างความพร้อม ซึ่งนอกจากเรื่องเงินตรา เรื่องโครงการพัฒนาต่างๆ แล้ว ประเทศสมาชิก BIMSTEC ก็ยังต้องร่วมมือกันในเรื่องการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เป็นสำคัญอีกด้วย
ท้ายนี้ก็เป็นที่หวังว่า รัฐบาลไทยชุดนี้จะได้มีเป้าหมาย นโยบาย และมาตรการ ออกมาแสดงต่อสาธารณชนให้เป็นที่ประจักษ์ เพื่อประชาชนพลเมืองจะได้รับทราบและให้การสนับสนุนกิจการใดๆ ของ BIMSTEC อันจะก่อเกิดประโยชน์แก่ประเทศไทยในอนาคต
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี