นับตั้งแต่ประเทศไทยเริ่มใช้รัฐธรรมนูญฉบับ 2540 ซึ่งเป็นรัฐธรรมนูญฉบับแรกที่มีกลไกด้าน “สิทธิมนุษยชน” อย่าง สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) เป็นหนึ่งในองค์กรอิสระ แม้จะไม่มีอำนาจให้คุณให้โทษ หรือมีผลผูกพันให้หน่วยงานต่างๆ ต้องปฏิบัติตาม แต่สามารถหยิบเรื่องราวต่างๆ ในสังคม หรือรับข้อร้องเรียนจากประชาชน มาตรวจสอบและมีข้อเสนอแนะไปถึงหน่วยงานไม่ว่าภาครัฐหรือเอกชน พร้อมเผยแพร่ต่อสาธารณะให้ประชาชนได้เรียนรู้ไปพร้อมกัน ก็ทำให้สังคมไทยเห็นความสำคัญของสิทธิมนุษยชนมากขึ้นตามลำดับ
จนถึงปัจจุบันที่ไทยใช้ รธน.ฉบับ 2560 หนึ่งในความเปลี่ยนแปลงสำคัญคือการเกิดขึ้นของ “พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย
พ.ศ.2565” ซึ่งมาจากคดี “ถุงดำคลุมหัว” เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจใช้วิธีการดังกล่าวจนทำให้ผู้ต้องหาเสียชีวิต กระแสสังคมได้ทำให้ฝ่ายการเมืองผ่านกฎหมายฉบับนี้ออกมาบังคับใช้ และล่าสุดเมื่ออดีตตำรวจคนดังกล่าวเสียชีวิตอย่างเป็นปริศนาในเรือนจำ ก็มีเสียงเรียกร้องให้ตรวจสอบว่า ก่อนจะเสียชีวิตเคยถูกทำร้ายหรือถูกกดดันทางร่างกายและจิตใจที่ไม่ใช่การลงโทษปกติตามกรอบของกฎหมายหรือไม่ ถือว่ามาไกลมากจากเมื่อหลายปีก่อนหน้านั้นที่ “สิทธิผู้ต้องหาหรือนักโทษ” ไม่ค่อยได้รับความสนใจมากนัก
ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา กสม. รายงานภารกิจเกี่ยวกับการส่งเสริมสิทธิมนุษยชนในกระบวนการยุติธรรม อาทิ วันที่ 20 มี.ค. 2568 วสันต์ ภัยหลีกลี้ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ กล่าวถึงกรณีผู้ต้องขังชาวต่างชาติ ยื่นคำร้องกับทางเรือนจำขออนุญาตส่งเอกสารคำฟ้องเพิ่มเติมต่อศาลปกครองกลางกรณีขอให้เพิกถอนคำสั่งเรือนจำที่ลงโทษทางวินัยผู้ร้อง กรณีผู้ร้องไม่ยอมตัดผมและไว้หนวดเคราโดยอ้างความเชื่อทางศาสนา
ซึ่งเจ้าพนักงานเรือนจำได้ตรวจเอกสารแล้วเห็นว่ามีข้อความบางส่วนที่ไม่เกี่ยวข้องกับการฟ้องคดี เป็นการกล่าวพาดพิงการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าพนักงานเรือนจำอันอาจก่อให้เกิดความเสียหาย จึงคืนเอกสารและให้ผู้ร้องแก้ไขให้เหมาะสม แต่ผู้ร้องได้มีหนังสือถึงผู้บัญชาการเรือนจำเพื่อโต้แย้งคัดค้าน และยืนยันให้ส่งเอกสารตามความประสงค์ เมื่อเจ้าพนักงานเรือนจำได้พิจารณาเนื้อหาในหนังสือคัดค้านแล้วเห็นว่า ผู้ร้องใช้ข้อความหรือถ้อยคำให้ร้ายเจ้าพนักงานเรือนจำเป็นเหตุให้เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือเกลียดชัง
จึงเสนอเรื่องต่อผู้บัญชาการเรือนจำเพื่อขอให้แต่งตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริง และลงโทษทางวินัย ผู้ร้องเห็นว่าผู้ถูกร้องทั้งสองกระทำละเมิดสิทธิของผู้ต้องขัง จึงขอให้ตรวจสอบ ซึ่งทาง กสม. วินิจฉัยว่า รธน. ฉบับ 2560 มาตรา 32 มาตรา 26 และมาตรา 41ได้ให้การรับรองและคุ้มครองสิทธิในความเป็นอยู่ส่วนตัวของบุคคล เสรีภาพในการติดต่อสื่อสาร รวมทั้งสิทธิในการเสนอเรื่องราวร้องทุกข์ต่อหน่วยงานของรัฐ ซึ่งรวมถึงการฟ้องคดีต่อศาล
สิทธิดังกล่าวยังถูกกำหนดไว้ในกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (ICCPR) ที่ประเทศไทยเป็นภาคี โดยที่ข้อกำหนดมาตรฐานขั้นต่ำขององค์การสหประชาชาติ ในการปฏิบัติต่อผู้ต้องขัง หรือข้อกำหนดแมนเดลลา (The United Nations Standard Minimum Rules for the Treatment of Prisoners: The Nelson Mandela Rules) ข้อ 17 กำหนดให้ผู้ต้องขังมีสิทธิยื่นคำร้องต่อศาลหรือหน่วยงานอื่นใดที่มีอำนาจหน้าที่
โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องมีหลักประกันเพื่อคุ้มครองให้ผู้ต้องขังสามารถยื่นคำร้องขอหรือร้องทุกข์ดังกล่าวได้อย่างปลอดภัย กรณีที่ผู้ต้องขังต้องการให้กระทำอย่างเป็นความลับ ผู้ต้องขังต้องไม่ตกอยู่ในความเสี่ยงที่จะถูกตอบโต้ ข่มขู่ หรือได้รับผลกระทบด้านลบอันเนื่องมาจากการยื่นคำร้องทุกข์นั้น ส่วน พ.ร.บ.ราชทัณฑ์ พ.ศ. 2560 และระเบียบกรมราชทัณฑ์ว่าด้วยการตรวจสอบจดหมาย เอกสาร พัสดุภัณฑ์ หรือสิ่งสื่อสารอื่น หรือสกัดกั้นการติดต่อสื่อสารทางโทรคมนาคมหรือโดยทางใดๆ
ซึ่งมีถึงหรือจากผู้ต้องขัง พ.ศ. 2561
ที่ให้อำนาจเจ้าพนักงานเรือนจำสามารถตรวจสอบข้อความในจดหมาย และมีอำนาจระงับ ยับยั้งการส่งจดหมายของผู้ต้องขังได้ โดยมีเหตุผลความจำเป็นเพื่อตรวจสอบข้อความที่ส่งออกไปซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของรัฐ ความสงบเรียบร้อยของเรือนจำ หรือศีลธรรมอันดีของประชาชน และเพื่อป้องกันเหตุร้ายและรักษาความสงบเรียบร้อยของเรือนจำได้นั้น
จากการตรวจสอบข้อเท็จจริง พบว่า “ข้อความที่ปรากฏตามเอกสารในคำฟ้องเพิ่มเติมและหนังสือโต้แย้งคัดค้านแล้ว ผู้ร้องได้กล่าวถึงการปฏิบัติหน้าที่ของผู้ถูกร้องทั้งสอง โดยเกิดจากความคับข้องใจ และความเข้มงวดในระเบียบวินัยของผู้ต้องขัง แต่มิได้มีข้อความส่วนใดที่อาจเกิดผลกระทบต่อการรักษาความมั่นคงของรัฐความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน
ดังเช่น กรณีการเขียนข้อความใส่รหัสลับ ปกปิดวิธีดำเนินการไม่ให้เข้าใจความหมายที่แท้จริงเพื่อติดต่อซื้อขายยาเสพติด การจัดซื้ออาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน มีผลประโยชน์ที่มิชอบด้วยกฎหมายเข้ามาเกี่ยวข้อง หรือคุกคามทางเพศแก่บุคคลอื่น และกรณีนี้เป็นเรื่องการใช้สิทธิฟ้องร้องดำเนินคดีในชั้นศาล มิใช่ลักษณะการส่งจดหมายทั่วไป ที่ให้อำนาจเจ้าพนักงานเรือนจำตรวจสอบเนื้อหาหรือสั่งให้แก้ไขจดหมายหรือเอกสารดังกล่าวได้”
อีกทั้ง “ศาลปกครองเป็นหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรมที่มีอำนาจตรวจสอบการดำเนินการในทางปกครองของเจ้าหน้าที่รัฐหรือหน่วยงานทางปกครอง ซึ่งถือเป็นหลักประกันความยุติธรรมและความปลอดภัยของผู้ร้องในฐานะผู้ต้องขัง” ดังนั้น “การใช้อำนาจพิจารณาเอกสารจึงต้องยึดหลักความได้สัดส่วนระหว่างความสงบเรียบร้อยของเรือนจำกับผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการแทรกแซงสิทธิในการเสนอเรื่องราวร้องทุกข์ต่อหน่วยงานของรัฐ และเสรีภาพในการติดต่อสื่อสารของผู้ต้องขัง”
กสม. จึงเสนอแนะให้กรมราชทัณฑ์ “พิจารณาทบทวนและแก้ไขกฎหมายหรือระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการร้องทุกข์ของผู้ต้องขัง หากเป็นกรณีการสื่อสารระหว่างผู้ต้องขัง
กับหน่วยงานของรัฐ” โดยเฉพาะหน่วยงานที่ทำหน้าที่ตรวจสอบการใช้อำนาจของรัฐดังเช่น ศาล องค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญให้สามารถปิดผนึก “ลับ” จดหมายหรือคำร้องทุกข์ได้ โดยงดเว้นการตรวจสอบเนื้อหาของเอกสารดังกล่าว
อีกภารกิจหนึ่งของ กสม. ที่เกิดขึ้นในสัปดาห์นี้ คือกิจกรรม “การพัฒนาศักยภาพสถานีตำรวจเครือข่ายร่วมกับสถานีตำรวจต้นแบบ” ที่ กสม. ร่วมกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และสถานเอกอัครราชทูตอังกฤษประจำประเทศไทย ระหว่างวันที่ 19–21 มี.ค. 2568 ณ สถานีตำรวจนครบาลปทุมวัน และ สถานีตำรวจภูธรเมืองจันทบุรี โดยมีวัตถุประสงค์ให้ผู้แทนสถานีตำรวจเครือข่ายได้เรียนรู้การทำงานกับสถานีตำรวจต้นแบบ เพื่อสามารถนำแนวปฏิบัติที่ได้ไปปรับใช้ในการพัฒนาสถานีตำรวจของตนให้สอดคล้องตามหลักสิทธิมนุษยชนต่อไป!!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี