พลันที่นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.พรรคประชาชน เอ่ยคำว่า “ไม่รู้สี่รู้แปด” องครักษ์พิทักษ์อุ๊งอิ๊งค์-นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ก็ดาหน้ากันออกมาตอบโต้และตำหนินายวิโรจน์ทันที
1) นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ ที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีนายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.พรรคประชาชน ให้สัมภาษณ์สื่อด้วยถ้อยคำล่อแหลมและหยาบคายเกินกว่าที่สังคมจะรับได้ กรณีการแก้ไขปัญหาของกลุ่มผู้ชุมนุมที่มามายื่นหนังสือให้รัฐบาลแก้ไขปัญหาปลาหมอคางดำ ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้นายสมคิด เชื้อคง รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ออกไปรับฟังปัญหากับกลุ่มผู้ชุมนุม พร้อมกับอธิบดีกรมประมง และได้สั่งการให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเร่งแก้ไขปัญหาแล้ว แต่นายวิโรจน์ ยังออกอาการซาดิสม์ เล่นการเมืองแบบ “สายแว้น” ใช้คำพูดน่าเกลียดเกินที่สังคมสุภาพจะรับไหว
“ไม่เคยนึกเลย ว่านายวิโรจน์จะลั่นวาจาคำว่า“นายกฯ ไม่รู้สี่รู้แปด” กับสื่อได้ เพราะคำแบบนี้สังคมทั่วไปก็รู้ว่าเป็นการเล่นคำภาษา ซึ่งมาจากคำหยาบคายเกินกว่าที่คนเป็นผู้แทนประชาชนจะให้สัมภาษณ์ได้ สะท้อนให้เห็นถึงวาจา ที่โบราณว่าไว้สำเนียงส่อภาษา กิริยาส่อสกุล หรือไม่ นายวิโรจน์เป็นฝ่ายนิติบัญญัติ 1 ใน 3 เสาหลักผู้ทรงเกียรติของประเทศ ควรใช้ภาษาของคนที่มีศิลปะการศึกษา พูดกัน เพราะภาษาเหล่านี้ควรปล่อยให้เด็กแว้นบอยสก๊อยเกิร์ลเอาไว้คุยกันในวงแว้นจะดีกว่า” นายจิรายุ กล่าว
2) ประเด็นแรกที่ควรวิเคราะห์กันก่อนก็คือ “ไม่รู้สี่รู้แปด” เป็น “คำหยาบคาย” หรือไม่
นายเทพไท เสนพงศ์ อดีต สส. ให้ความเห็นว่า“หลังจากนายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.พรรคประชาชน ออกมาพูดพาดพิงถึงนางสาวแพทองธาร ชินวัตรนายกรัฐมนตรี ที่ไม่สนใจการมาชุมนุมหน้าทำเนียบรัฐบาลของม็อบปลาหมอคางดำ ว่า ไม่รู้สี่รู้แปดถึงความเดือดร้อนของประชาชน ทำให้สมาชิกพรรคเพื่อไทยหลายคน ออกมาตอบโต้การใช้ถ้อยคำไม่รู้สี่รูปแปดของนายวิโรจน์ ตั้งแต่ระดับเลขาธิการพรรคเพื่อไทย รัฐมนตรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี โฆษกรัฐบาล สส.พรรคเพื่อไทย ฯลฯ
...ผมเห็นว่าการใช้คำว่า ไม่รู้สี่รู้แปด เป็นคำที่ใช้โดยทั่วไป ซึ่งตนเองก็เคยใช้มาเช่นกัน เพราะเป็นคนภาคใต้ การพูดถึงไม่รู้สี่ไม่รู้แปด หมายถึงลักษณะภูมิศาสตร์ของภาคใต้ ที่เรียกกันว่า มีฝนแปดแดดสี่ หมายความก็คือมีฤดูฝน 8 เดือน ฤดูร้อน 4 เดือน การเปรียบเทียบไม่รู้สี่ไม่รู้แปด หมายถึงการไม่รู้ฤดูกาล ไม่รู้จักกาลเวลาไม่รู้ดินฟ้าอากาศ หรือภาษาปักษ์ใต้เรียกว่าไม่รู้จักหวัน
...เมื่อไปดูความหมายในแชทจีพีที (Chat GPT)พบว่า คำว่าไม่รู้สี่ไม่รู้แปด เป็นสำนวนไทย หมายถึง ไม่รู้อะไรเลย ไม่มีความรู้เกี่ยวกับเรื่องนั้นๆ คล้ายกับคำว่าไม่รู้อีโหน่อีเหน่ หรือไม่รู้เรื่องรู้ราว แต่สำหรับภาษาชาวบ้าน อาจจะคิดว่าไม่รู้สี่รู้แปด เป็นคำศัพท์สแลงก็ได้ แล้วแต่ใครจะคิดอย่างไร ถ้าเป็นคนคิดลึก หรือจินตนาการไปไกลว่า เป็นคำหยาบคาย ก็เป็นเรื่องของแต่ละบุคคล
...แต่ที่แปลกใจมากก็คือ คำนี้เคยใช้กันอย่างแพร่หลาย คนระดับรัฐมนตรีหรือนักการเมืองหลายคนก็เคยใช้คำนี้มาแล้ว ไม่เห็นจะมีปัญหาอะไร ซึ่งขึ้นอยู่กับบริบทของการใช้ของแต่ละบุคคล แต่ครั้งนี้เป็นการใช้กับนางสาวแพทองธาร ชินวัตร จึงทำให้ลิ่วล้อ บริวารเดือดร้อนแทน ดิ้นกันพรวดพราด ทนกับคำพูดในลักษณะเช่นนี้ไม่ได้ จึงออกมาตอบโต้กันอย่างรุนแรง
...จะเห็นได้ว่า ครั้งนี้เป็นเพียงแค่การใช้คำพูดในลักษณะเช่นนี้นอกสภา ยังมีคนเรียงหน้าออกมาตอบโต้แทนจำนวนมาก ถ้าหากเป็นการอภิปรายไม่ไว้วางใจในสภาผู้แทนราษฎร ลองคิดดูว่าพวกองครักษ์และสส.พรรคเพื่อไทย จะเรียงหน้าออกมาประท้วงมากขนาดไหน
...ผมเชื่อว่าพรรคเพื่อไทยและองครักษ์จะปกป้องนางสาวแพทองธาร ยิ่งกว่าไข่ในหินเสียอีก เพียงแค่ฝ่ายค้านอภิปรายด้วยข้อความที่ทำให้ระคายผิวเพียงนิดเดียว ก็จะถูกประท้วงแหลกลาญแน่นอน
3) ผมคิดว่า คุณเทพไทก็มี “ความมั่ว” และ “ความตะแบง” อยู่ในการอธิบาย
“ไม่รู้หวัน” มีรากมาจาก สวรรค์ หรือบ้างก็ว่า ดวงตะวัน, หวัน คือ ตะวัน มันคือคำว่า ไม่รู้สวรรค์ไม่รู้นรกนั่นเอง เริ่มต้นคำนี้จึงใช้เพื่อหมายถึง ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง ตามมาด้วย-ไม่รู้ว่าอะไรควร อะไรไม่ควร ไม่รู้เรื่องเลย ไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร และไม่รู้กาลเทศะ เช่น ชุดที่อุ๊งอิ๊งค์สวมใส่ต้อนรับคณะทูตจากประเทศภูฏานนั่นล่ะ
คือ ภาวะ “ไม่รู้หวัน” ของ แพทองธาร ชินวัตร
การเอาคำว่า “ไม่รู้หวัน” มาตีขลุมแบบเทพไททำได้ไหม ได้ครับ เพราะท้ายที่สุด ไม่รู้หวัน ก็หมายถึง “ไม่รู้ห่ารู้เหว” อะไรไปด้วย
แต่ก็ไม่เกี่ยวโดยตรงกับคำว่า “ไม่รู้สี่รู้แปด” ที่มาจากคำพ้องเสียงของคำสองคำที่หมายถึง “อวัยวะเพศหญิง” แปลว่า ไม่รู้เรื่องอะไรเลย หรือไม่รู้ห่ารู้เหวอะไรเลยนั่นเอง ไม่เกี่ยวกับ “ฝนแปดแดดสี่”ที่พยายามจะลากความไป
“ไม่รู้สี่รู้แปด” จึงเป็นคำที่ “เลี่ยง” คำหยาบดั้งเดิม มาเป็นคำที่มีเสียงใกล้เคียงแทน แต่ก็ยังแทน“อารมณ์เดิมๆ” นั่นแหละ คือการ “จิกหัวด่า” ทำนองว่าอีนี่เป็นคนที่ไม่รู้ห่ารู้เหวอะไรเลย อีควาย อีงั่ง อะไรทำนองนี้ รวมถึงไม่รู้ร้อนรู้หนาว ด้วย
4) แล้วอุ๊งอิ๊งค์เป็นคนที่ “ไม่รู้สี่รู้แปด” หรือ“ไม่รู้ห่ารู้เหว” อะไรเลยจริงไหม?
มันก็มีเค้าอยู่นะ
5) วันที่ 19 มี.ค. 2568 นางสาว แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีมีดราม่าพาลูกวิ่งเล่นหน้าสนามหญ้าตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาลในขณะที่ประชาชนเดือดร้อนและมีกลุ่ม ผู้ชุมนุมมาเรียกร้องให้รัฐบาลแก้ไขปัญหาปลาหมอคางดำ ว่า คิดว่าถ้าประชาชนฟังอยู่ ในคำถามหรือเหตุการณ์ที่โดนว่าไม่สนใจปลาหมอคางดำและพาลูกไปวิ่งเล่น คนเราไม่ได้มีมิติเดียว ทำงานก็คือทำงาน เรื่องของประชาชนและความเดือดร้อนแน่นอนอยู่แล้ว ซึ่งเรื่องปลาหมอคางดำได้สั่งการกรมประมงเรียบร้อยแล้ว และเรื่องของการพาลูกวิ่งเล่น ตนก็พาลูกวิ่งเล่นทุกครั้งที่มีโอกาส เพราะฉะนั้นถ้าใกล้ชิดกับลูกได้ก็อยากใกล้ชิดกับลูกไม่ได้รบกวนการทำงานแต่อย่างใด เพราะวันใดที่ตารางแน่นไม่สามารถใกล้ชิดกับลูกได้ก็ไม่ได้เจอกัน ก็เหมือนพ่อแม่ที่ทำงานทั่วไป เรื่องนี้ต้องมีความเข้าใจในชีวิตของมนุษย์ ชีวิตมนุษย์แม่ก็ทำงาน มนุษย์พ่อก็ทำงาน มนุษย์ลุงป้าน้าอาก็ทำงาน และทุกมนุษย์ก็มีครอบครัว ทุกชีวิตสามารถมีความสุขของตัวเองได้ การจัดสรรเวลาเป็นสิ่งสำคัญ ไม่ได้แปลว่าทำอย่างหนึ่งแล้วไม่ได้ทำอย่างหนึ่ง ในเรื่องงานก็อยู่ในหัวตลอดเวลาอยู่แล้ว เพราะทำงานทุกวัน แนะนำให้ทุกท่านดูแลสุขภาพแบ่งเวลาให้ถูกต้อง ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีต่อองค์กร ครอบครัว หน่วยงาน และประเทศ
เมื่อถามว่านายกฯ รู้สึกอย่างไร เมื่อขยับซ้ายขยับขวาก็เจอแต่ดราม่า นายกรัฐมนตรีตอบอย่างอารมณ์ดีและยิ้มกว้าง ว่า “รู้สึกปกติค่ะ” ถ้าไม่มีก็อาจจะคิดถึงนะคะ ขอบคุณมากค่ะ
6) อุ๊งอิ๊งค์เป็นเหมือนที่เจี๊ยบ อมรัตน์ โชคปมิตต์กุล อดีต สส.พรรคก้าวไกลเคยตำหนิ ตอนที่ตอบคำถามเรื่อง น้ำท่วมภาคใต้ ว่า สามีเป็นคนใต้ ถ้าละเลยคนใต้
หรือไม่รักคนใต้ คงแต่งงานกับคนใต้ไม่ได้
นางอมรัตน์ ระบุว่า “...คำตอบไม่เคยเกินชายคาบ้านเฉิ่มทุกครั้งที่อ้าปาก แนวคิดคนที่เอาตัวเองเป็นแกนกลางของจักรวาล โลกทั้งใบหมุนรอบตัวฉัน...”
7) อุ๊งอิ๊งค์ มอง “ทำเนียบรัฐบาล” เหมือน “บ้าน”ทำเหมือนเป็น “โฮมออฟฟิศ” หรือ “สำนักงานบ้านตัวอย่าง”ในโครงการที่โคตรญาติทำขาย จะเข้าจะออกเมื่อไหร่ อย่างไร จะพาใครเข้าใครออกก็ได้ เพราะฉันเป็นใหญ่ที่นี่ฉันเป็นเจ้าของที่นี่ ผัวเอย ลูกเอย จะมาเมื่อไหร่ก็มาจะเดินเล่นวิ่งเล่น ก็ได้ งานฉันก็ทำนี่นา
8) คุณอุ๊งอิ๊งค์คะ ไม่เคยมีนายกรัฐมนตรีคนไหนเขาทำแบบนี้ที่ “ทำเนียบรัฐบาล” ค่ะ นั่นรวมถึง “พ่อคุณ-อาคุณ” ด้วย นายทักษิณ ชินวัตร ไม่เคยพาพวกคุณมาวิ่งเล่นที่สนามหน้าทำเนียบรัฐบาล ซึ่งเป็น “ศูนย์บัญชาการรัฐ” เทียบกับอเมริกา เขามีทำเนียบขาวกับบ้านพักประธานาธิบดีแยกกันต่างหาก ของไทยก็มีทำเนียบรัฐบาล (บ้านนรสิงห์) กับบ้านพักประจำตำแหน่งนายกรัฐมนตรี (บ้านพิษณุโลก) เพียงแต่นายกรัฐมนตรีไม่พักที่บ้านพิษณุโลก ยังคงพักที่บ้านตัวเองอยู่เท่านั้นเอง “ไม่รู้สี่รู้แปด” จริงๆ เลยเธอ
9) อุ๊งอิ๊งค์เป็นคนหมกมุ่นอยู่แต่กับ “ครอบครัว” ของตัวเอง เหมือนที่เจี๊ยบ อมรัตน์ ว่า ครอบครัวเป็นเขาพระสุเมรุ เป็นศูนย์กลางจักรวาล ที่เหลือเป็นแค่ “บริวาร” เท่านั้น “ทำเนียบรัฐบาล” จึงไม่ต่างจาก “ห้องทำงาน” ที่เป็นสมบัติของเธอ ของครอบครัวเธอ ในมโนทัศน์ของเธอ ลูกมาหา ฉันก็พามาเดินเล่น จะเป็นอะไรไป ก็ลองไปคุยกับพ่อ (มึง) สักหน่อยเป็นไร ว่า ตอนนั้น ทำไมไม่พาพวกหนูมาวิ่งเล่นเลย, อาปูคะ ตอนเป็นนายกฯ ทำไมอาปูไม่พาน้องไปป์มาวิ่งเล่นที่ทำเนียบรัฐบาลล่ะคะ ยังไม่ต้องถามนายกฯ คนอื่นที่ไม่ใช่โคตรญาติก็ได้ ว่า หลักคิดที่ถูกต้องคืออะไร
10) อุ๊งอิ๊งค์เห็นตัวเองเป็น “เมีย” เป็น “แม่”คมและชัดกว่าเป็น “นายกฯ” ปีก่อนหน้านี้ เธอเป็นประธานซอฟต์พาวเวอร์ ชักชวนคนทั้งโลกมาเล่นน้ำสงกรานต์ในเมืองไทย จะจัดงานใหญ่งานโตจะโปรโมทสงกรานต์ของประเทศไทย ถึงเวลา เธอหอบลูกหอบผัวไปเที่ยวฮ่องกง กลับมาเธออธิบายว่า
“...ส่วนกรณีเดินทางไปต่างประเทศช่วงเทศกาลสงกรานต์จนทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ เนื่องจากมีตำแหน่งประธานคณะกรรมการพัฒนาซอฟต์พาวเวอร์
แห่งชาติ และผลักดันงานเทศกาลสงกรานต์ ให้เป็นซอฟต์พาวเวอร์นั้น น.ส.แพทองธาร ชี้แจงว่า นอกจากเป็นประธานซอฟต์พาวเวอร์และเป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทย แต่อีกบทบาทหนึ่งก็เป็นคุณแม่ และเป็นภรรยา จึงต้องทำหน้าที่ทุกอย่างให้สมบูรณ์
...จากที่ผ่านมาทำงานยุ่ง และต้องทำความเข้าใจกับครอบครัวเสมอในเรื่องนี้ และพอดีกับลูกปิดเทอม หากได้ใช้เวลานี้อยู่กับครอบครัวก็น่าจะเป็นโอกาสที่ดี
และงานสงกรานต์ก็จัดมาได้อย่างยิ่งใหญ่ งานที่เกี่ยวข้องก็ตั้งใจทำงานกันอย่างเต็มที่ซึ่งโดยส่วนตัวยืนยันว่าพร้อมสนับสนุนอยู่แล้ว
...ทั้งนี้เชื่อว่า ผู้หญิงทุกคนต้องทราบดีว่า การทำหน้าที่ต่างๆ นั้นอาจจะไม่ได้ดีทุกวัน และการทำงานก็ต้องเติมพลังให้ตัวเอง ซึ่งการเติมพลังของตนนั้นก็คือครอบครัว แต่ไม่ว่าจะดราม่าอย่างไรก็ยินดีรับฟัง และจะต้องทำอย่างเต็มที่อย่างแน่นอน ขอให้ทุกฝ่ายเข้าใจและช่วยใจดีให้กันสักนิดหนึ่ง...”
11) มันไม่ใช่เรื่องใจร้ายใจดี มันเป็นเรื่อง “ไม่รู้สี่รู้แปด” อย่างแท้ทรู
คุณหนูมุ่งจะดูแลลูก ดูแลผัว ใช้เวลากับลูกกับผัวจนจัดลำดับ “วาระและโอกาส” ผิด
ต่อให้มาทำงานในช่วงสงกรานต์ก็ยังอยู่กับลูกกับผัวได้ ลูกปิดเทอมก็พาไปเที่ยวสงกรานต์สิ ที่เชียงใหม่ก็ได้ บ้านเกิดของคุณตาก็ได้ ใช้เวลากับลูกกับผัวเหมือนกัน ทำไมต้องเป็นฮ่องกงล่ะ
ตรรกะของเธอจึงเหมือนที่เจี๊ยบ อมรัตน์ว่า “คิดไม่พ้นชายคาบ้าน” และเป็นอย่างที่นายวิโรจน์ว่า “ไม่รู้สี่รู้แปด”
เกิดวันหนึ่งวันใด ระหว่างอยู่ทำเนียบรัฐบาล คราวนี้ไม่ใช่นึกได้ว่าเป็นแม่ละ แต่เกิดนึกได้ว่า เรามีหลายสถานะ หนึ่งในนั้นคือสถานะ ภรรยา
อยากรู้เหลือเกินว่า ยามนั้นอุ๊งอิ๊งค์จะทำยังไง?!?
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี