เริ่มแล้ววันนี้ (24-25 มีนาคม 2568) การอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 151 โดยฝ่ายค้านเลือกเจาะจงอภิปรายนายกฯ แพทองธาร ชินวัตร คนเดียว
ในญัตติระบุพฤติการณ์เกี่ยวพันถึงบุคคลในครอบครัวด้วย
ยังไม่เปิดเผยว่าฝ่ายค้านจะอภิปรายเรื่องอะไรบ้าง จะมีหลักฐานเด็ด ข้อมูลใหม่ในเรื่องไหนบ้างหรือไม่
แต่ประเด็นสำคัญอันหนึ่ง ที่ฝ่ายค้านไม่ควรเพิกเฉย ถ้าไม่ใช่มวยล้มต้มคนดูก็คือประเด็นเกี่ยวกับความถูกต้องครบถ้วนของบัญชีทรัพย์สินนายกฯ ที่แจ้งต่อ ป.ป.ช.เพราะอาจมีนิติกรรมอำพราง หลบเลี่ยงภาษีหรือไม่? ดังที่เคยมีคนในครอบครัวดำเนินการจนเป็นคดีข้อพิพาทครึกโครม หรือเคยมีข้าราชการติดคุกติดตะรางกันมาแล้ว
1. ตั๋วสัญญาใช้เงิน 9 ฉบับ อ้างเป็นการชำระราคาค่าหุ้น เป็น “นิติกรรมอำพราง” สัญญาให้หุ้นหรือไม่? ช่วยหลบเลี่ยงภาษีจากการได้หุ้นมูลค่ากว่า 4,400 ล้านบาท ทำให้นายกฯอุ๊งอิ๊งค์ไม่ต้องเสียภาษีเงินได้เกือบ 1,500 ล้านบาท หรือไม่?
ประเด็นนี้ คุณประสงค์ เลิศรัตนวิสุทธิ์ เขียนบทความตั้งข้อสงสัย และถามนายกฯแพทองธาร แต่ได้รับคำตอบแค่เพียงปฏิเสธ ยืนยันว่าทำถูกต้อง แต่ไม่ได้มีคำอธิบายชี้แจงรายละเอียดอะไรต่อสาธารณชนเลย
หากนายกฯอุ๊งอิ๊งค์จะใช้เวทีสภา อธิบายชี้แจง เปิดเผยหลักฐานเพิ่มเติม เชื่อว่าน่าจะเป็นประโยชน์
เรื่องนี้ สืบเนื่องจากที่นายกฯ อุ๊งอิ๊งค์ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินต่อสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) กรณีเข้ารับตำแหน่ง เมื่อวันที่ 6 ก.ย. 2567 แจ้งมีทรัพย์สินทั้งสิ้น 13,993,826,903 บาท และหนี้สินทั้งสิ้น 4,441,159,711.49 บาท
ในส่วนของรายการหนี้สิน น.ส.แพทองธาร แจ้งว่ามีหนี้สิน 4,439,980,600.96 บาทมี 10 รายการ ประกอบด้วย เงินเบิกเกินบัญชี 10 บัญชี 5,458,262 บาท และ หนี้สินอื่น 9 รายการ ได้แก่ “1.สัญญากู้ยืมเงินจาก น.ส.พินทองทา ชินวัตร คุณากรวงศ์ 2.สัญญากู้ยืมเงินจากนายพานทองแท้ ชินวัตร 3.สัญญากู้ยืมเงินนายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ 4.สัญญากู้ยืมเงินนางบุษบา ดามาพงศ์ และ 5.สัญญากู้ยืมเงินคุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์
คุณประสงค์ตรวจสอบพบว่า หนี้ก้อนนี้เป็นหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงิน เพื่อชำระค่าหุ้นบริษัทในครอบครัวชินวัตรจำนวน 9 บริษัท ให้แก่บุคคลในครอบครัวชินวัตร ดามาพงศ์
“..โดยตั๋วสัญญาใช้เงินกว่า 4,400 ล้านบาท เป็นแบบครบกำหนดเมื่อทวงถาม ไม่มีดอกเบี้ย หรือพูดแบบบ้านๆ คือ ให้กู้หรือเป็นหนี้ไปได้เรื่อยๆ ไม่ต้องชดใช้ ถ้าไม่ทวง
ยิ่งถ้าดูรูปแบบการแบ่งทรัพย์สินในครอบครัวชินวัตร ตั้งแต่นายทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรีเมื่อปี 2544 “กงสี”จะโอนหุ้นส่วนใหญ่ให้กับนายพานทองแท้ ชินวัตร ซึ่งมีอายุเกิน 20 ปี และบุคคลอื่น เช่น นายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ พี่ชายบุญธรรมของคุณหญิงพจมาน ไม่ได้โอนให้ลูกสาวสองคนที่อายุยังไม่ถึง 20 ปี จะได้ไม่มีปัญหาหรือต้องยุ่งยากให้การแสดงบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินต่อ ป.ป.ช.
ต่อมา เมื่อบุตรสาวสองคนบรรลุนิติภาวะ และมีครอบครัวแล้วก็ทยอยโอนหุ้นของ “กงสี”ให้แก่บุตรสาวทั้งสอง ส่วนใครจะได้เท่าไหร่ อย่างไรก็ต้องตรวจสอบกันต่อไป
ดังนั้น จึงมีการตั้งคำถามว่า การที่บุคคลต่างๆ ในครอบครัว ญาติพี่น้องข้างต้นโอนหุ้นมูลค่ากว่า 4,400 ล้าน ให้แก่ น.ส.แพทองธารเป็นการโอนให้ (สัญญาให้)หรือไม่ ไม่ใช่การซื้อขายที่ต้องมีการชำระราคา
ถ้า น.ส.แพทองธารไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรีหรือผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองที่ต้องแสดงบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินต่อ ป.ป.ช.การโอนหุ้นดังกล่าวก็คงไม่มีปัญหาอะไร เพราะหุ้นทั้ง 9 บริษัท ไม่ได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ เป็นการโอนหุ้นในครอบครัวญาติพี่น้องแบบเงียบๆ ที่ไม่มีใครไปตรวจสอบหรือ ถ้าจะตรวจสอบคงไม่สามารถทำได้ง่ายๆ
แต่เมื่อ น.ส.แพทองธาร ต้องเข้าดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอย่างกะทันหันต่อจากนายเศรษฐา ทวีสิน ที่ต้องตกเก้าอี้แบบไม่คาดฝัน ทำให้ต้องมีการเตรียมพร้อมในการแสดงบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินต่อ ป.ป.ช.เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาซ้ำรอยเหมือนนายทักษิณ เมื่อปี 2544
เมื่อเป็นเช่นนี้คำถามแรกที่เกิดขึ้นคือ ตั๋วสัญญาใช้เงินที่ทำขึ้นจำนวน 9 ฉบับลงวันที่ 9 มกราคม 2556 บ้าง 8 กันยายน 2559 บ้าง เป็นการทำขึ้นเพื่อชำระราคาในวันโอนหุ้นเลยหรือ ทำขึ้นย้อนหลังเพื่อให้แสดงบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินต่อ ป.ป.ช.ไม่มีปัญหาหรือไม่
วิธีการตรวจสอบทำได้ไม่ยาก โดยใช้วิธีการทางนิติวิทยาศาสตร์ ตรวจสอบกระดาษและน้ำหมึกที่ใช้ในการออกตั๋วสัญญาใช้เงิน
คำถามที่สอง การทำตั๋วสัญญาใช้เงินเพื่อเป็นการชำระราคาค่าหุ้น เป็น “นิติกรรมอำพราง”สัญญาให้หุ้นหรือไม่ เพราะ ถ้าคิดในรูปแบบบการแบ่งสรรทรัพย์สินในครอบครัวในฐานะบุตรหนึ่งในสามคนก็ต้องได้รับทรัพย์สินเหล่านั้นจาก “กงสี”อยู่แล้ว ไม่ต้องมีการซื้อขาย
คำถามที่สาม แล้วทำไมต้องออกตั๋วสัญญาใช้เงินชำระราคา “อำพราง”สัญญาให้หุ้นมูลค่ากว่า 4,400 ล้านบาท คำตอบคือ เมื่อมีการเปิดเผยเรื่องนี้ต่อสาธารณะ ในฐานะนายกรัฐมนตรีต้องถูกตั้งคำถามว่า เมื่อมีรายได้จากการให้ขนาดนี้ ถือเป็นเงินได้ที่ต้องเสียภาษีบุคคลธรรมดาหรือไม่
ถ้าคิดอย่างเร็ว ๆ เงินได้กว่า 4,400 ล้านบาท ต้องเสียภาษีเงินได้เกือบ 1,500 ล้านบาท
บางคนบอกว่า วิธีการดังกล่าว เป็นการ “วางแผนภาษี” ซึ่งมีเส้นกั้นบางๆ ว่า กับคำว่า “เลี่ยงภาษี”…”
ประเด็นเหล่านี้ ฝ่ายค้านควรจะติดตามตรวจสอบ และคนเป็นนายกฯก็ควรจะชี้แจงแถลงไขด้วยตนเอง
2. ก่อนหน้านี้ ก็เคยมีคดีภาษีหุ้นชินฯ กว่า 8 พันล้านบาท และหลังจากนั้นก็มีกรณีกรมสรรพากรเรียกเก็บภาษีจากทักษิณกว่า 17,629 ล้านบาท แต่สุดท้าย ก็ไม่ได้เงินสักบาท
2.1 จำได้ไหม... ลูกๆ ของนายทักษิณ เคยมีข้าราชการกังฉินช่วยเหลือในเรื่องภาษีอย่างไรในยุคระบอบทักษิณครองเมือง ทั้ง “พานทองแท้ กับพินทองทา” จึงไม่ต้องจ่ายภาษีหุ้นชินฯ เกือบ 8 พันล้านบาท
กรณี เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2548 นางสาวปราณี เลขาฯส่วนตัวของคุณหญิงพจมาน ทำหนังสือถามชงไปยังสรรพากร ทำนองว่า กรณีนายพานทองแท้ซื้อหุ้นชินคอร์ปฯ จากบริษัทแอมเพิล ริช ต้องเสียภาษีหรือไม่?
นางเบญจา หลุยเจริญ ปฏิบัติราชการแทนอธิบดีกรมสรรพากร ทำหนังสือลงวันที่ 21 กันยายน 2548 ตอบข้อหารือ แถมอธิบายชี้ช่องทางให้ล่วงหน้าเสร็จสรรพ เกินกว่าคำถามเสียด้วยซ้ำ
หลังจากนั้น ปี 2549 พานทองแท้และพินทองทาก็ซื้อหุ้นชิน คนละ 164 ล้านหุ้นในราคาพาร์หุ้นละ 1 บาท ราคาหุ้นในตลาดขณะนั้นอยู่ที่ 49.25 บาท ทั้งสองถือเป็นผู้ได้รับเงินพึงประเมิน และมีหน้าที่ต้องเสียภาษีของส่วนต่างราคาหุ้น แต่ได้อิงอาศัยแนวทางของข้าราชการกังฉินช่วยเหลือทำให้ไม่ต้องเสียภาษี
ลูกๆ ของนายทักษิณไม่ต้องจ่ายภาษี ทั้งๆ ที่ เป็นการซื้อขายหุ้นนอกตลาดหลักทรัพย์เกิดรายได้ส่วนต่างราคาหุ้น จะต้องเสียภาษี
ครอบครัวชินวัตรประหยัดเงินภาษีไปกว่า 7,900 ล้านบาท แต่ประเทศชาติเสียหาย
สุดท้าย ป.ป.ช. ไต่สวน ชี้มูลความผิด และฟ้องคดีที่ศาลปราบโกง
28 ก.ค. 2559 ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ พิพากษาจำคุกข้าราชการกังฉินฐานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ จำคุกคนละ 3 ปี ส่วน น.ส.ปราณี คุก 2 ปี
19 ต.ค. 2560 ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น
ต่อมา ศาลฎีกาพิพากษาแก้ ลดโทษให้ เป็นจำคุกนางเบญจา หลุยเจริญ และพวก 2 ปี ไม่รอลงอาญา, จำคุกเลขาฯส่วนตัวคุณหญิงพจมาน 2 ปี ไม่รอลงอาญาเช่นกัน
2.2 เมื่อศาลฎีกาฯ พิพากษาชี้ขาด ถึงที่สุด ว่าแท้จริงหุ้นเป็นของทักษิณ
ลูกๆ และแอมเพิล ริช เป็นตัวแทนเชิด
สรรพากรจึงได้มีการประเมินเรียกเก็บภาษีจากทักษิณ เจ้าของหุ้นตัวจริง
สรรพากรได้ประเมินภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาประจำปี 2549 จากทักษิณ เป็นเงิน 17,629 ล้านบาท
ฝ่ายทักษิณเห็นว่า ไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงได้ต่อสู้ฟ้องศาลภาษีอากรกลาง และชนะคดีในชั้นต้น
สาเหตุที่ทักษิณชนะคดี ในคำพิพากษาระบุว่า เพราะเจ้าพนักงานประเมินมิได้ออกหมายเรียกตรวจสอบนายทักษิณภายในกำหนดเวลาตามมาตรา 19 แห่งประมวลรัษฎากร
ย้ำ... ศาลภาษีอากรกลางพิจารณาวินิจฉัยว่า เจ้าพนักงานของกรมสรรพากรถือเอาการออกหมายเรียก นายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชาย และน.ส.พินทองทา ชินวัตร บุตรสาว ในฐานะตัวแทน เป็นการดำเนินการที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะการประเมินต้องออกหมายเรียกไปยังโจทก์ ซึ่งเป็นผู้ถูกประเมินโดยตรง
แต่ปรากฏว่าเจ้าพนักงานประเมินไม่ได้ออกหมายเรียกตรวจสอบโจทก์ ภายในเวลาที่กำหนด และนิติกรรมที่ทำขึ้นทั้งในขณะนั้นและหลังจากนั้น ไม่ก่อให้เกิดการโอนกรรมสิทธ์ในหุ้นของ บริษัทชินคอร์ปฯ เพราะนายพานทองแท้ และน.ส.พินทองทา ไม่ใช่เจ้าของหุ้นที่แท้จริง
ดูดีๆ เหตุที่เก็บภาษีจากทักษิณไม่ได้ ศาลไม่ได้บอกว่าซื้อขายหุ้นนอกตลาดไม่ต้องเสียภาษี
แต่เป็นเพราะผิดพลาดในขั้นตอนวิธีการประเมินเรียกเก็บภาษีต่างหาก
น่าสนใจว่า คดีนี้ สุดท้ายแล้ว ผลการอุทธรณ์เป็นอย่างไร? ไม่สามารถเก็บภาษีนับพัน-นับหมื่นล้านบาทจากใครได้เลย อย่างนั้นหรือ?
ที่สำคัญ ยืนยันว่า ทักษิณซุกหุ้นจริง
และการให้ Ample Rich (ทักษิณเป็นเจ้าของ) ขายหุ้นชินคอร์ปให้กับพานทองแท้และพินทองทา นอกตลาดหลักทรัพย์ ในราคาเพียงหุ้นละ 1 บาทขณะที่ราคาตลาดอยู่ที่หุ้นละ 49.25 บาทนั้น เป็นนิติกรรมอำพราง เพื่อเลี่ยงภาษี เพราะเจ้าของตัวจริงคือทักษิณ
มาถึงยุคนายกฯอุ๊งอิ๊งค์ ลูกสาวคนเล็กตระกูลชิน กรณีตั๋วสัญญาใช้เงิน 9 ฉบับอ้างเป็นการชำระราคาค่าหุ้น จะเป็น “นิติกรรมอำพราง” สัญญาให้หุ้นหรือไม่?ช่วยหลบเลี่ยงภาษีจากการได้หุ้นมูลค่ากว่า 4,400 ล้านบาท ช่วยให้นายกฯอุ๊งอิ๊งค์ไม่ต้องเสียภาษีเงินได้เกือบ 1,500 ล้านบาท หรือไม่?
นายกฯอุ๊งอิ๊งค์ จึงควรชี้แจงด้วยตนเอง อย่างสง่างาม
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี