การอภิปรายไม่ไว้วางใจ เป็นกลไกตรวจสอบการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาล ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
เมื่อได้มีการเสนอญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจแล้ว นายกฯจะมีการยุบสภาผู้แทนราษฎรมิได้ นั่นคือรัฐบาลจะยุบสภาหนีการอภิปรายไม่ได้ โดยที่การเสนอญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจให้กระทำได้ปีละหนึ่งครั้ง
ดังนั้น การเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ จึงไม่ใช่เรื่องที่ทำกันเล่นๆ หากฝ่ายค้านมีฝีมือ มีสติปัญญา ความรู้ความสามารถ ประเทศชาติก็จะได้ประโยชน์ เพราะประชาชนจะได้เห็นข้อมูลหลักฐาน ข้อเท็จจริง ลึกและชัดเจนกว่าที่สื่อนำเสนอทั่วไป เพราะ สส.ที่ทำหน้าที่ตรวจสอบในสภา ได้รับเอกสิทธิ์คุ้มครองการทำหน้าที่ระดับหนึ่ง
แม้ไม่อาจคาดหวังการลงมติของ สส.ในสภา แต่ถ้ามีหลักฐานข้อมูลชัดเจน ย่อมนำไปสู่การดำเนินคดีกับผู้ดำรงตำแหน่งฝ่ายรัฐบาล หรือแรงกดดันต่อผู้เกี่ยวข้องในการเปลี่ยนแปลงต่อไป
1. วาทกรรม “ดีลแลกประเทศ” กับ ญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี
เนื้อหาในญัตติฯ ที่ยื่นต่อประธานสภาฯ บางส่วน ระบุว่า
“...โดยพวกข้าพเจ้าเห็นว่า นางสาวแพทองธาร ชินวัตร เป็นผู้มีพฤติการณ์อันไม่อาจไว้วางใจให้บริหารราชการแผ่นดินในฐานะนายกรัฐมนตรีได้อีกต่อไป เนื่องจากไม่มีคุณสมบัติและไม่มีความเหมาะสมในการดำรงตำแหน่งผู้นำฝ่ายบริหารด้วยประการทั้งปวง ทั้งขาดภาวะผู้นำ ขาดวุฒิภาวะ ขาดความรู้ความสามารถ และขาดเจตจำนงในการบริหารราชการแผ่นดินที่แก้ปัญหาให้แก่ประเทศชาติและประชาชน ส่งผลทำลายภาพลักษณ์และความเชื่อมั่นของประเทศชาติ จงใจลอยตัวอยู่เหนือปัญหาและไม่มีความรับผิดชอบต่อตำแหน่งหน้าที่เพียงเพราะเห็นแก่ผลประโยชน์ของตนเอง บิดา ครอบครัวและพวกพ้องเป็นตัวตั้งอยู่เหนือผลประโยชน์ของส่วนรวม
นางสาวแพทองธาร ชินวัตร ยังไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ มีพฤติการณ์เอาเปรียบประชาชน เอาเปรียบสังคม โกหกหลอกลวง ไม่ดำเนินการตามนโยบายที่ให้สัญญาไว้กับประชาชน เป็นนั่งร้านช่วยเหลือต่างตอบแทนกลุ่มบุคคลที่เป็นปฏิปักษ์ต่อระบอบประชาธิปไตย บริหารบ้านเมืองผิดพลาดล้มเหลวอย่างร้ายแรงทั้งในด้านการเมือง การปฏิรูปกองทัพ ความมั่นคง เศรษฐกิจ คุณภาพชีวิต สิ่งแวดล้อม ทำลายนิติรัฐ ทำลายระบอบประชาธิปไตยระบบรัฐสภา เจตนา ตลอดจนปล่อยปละละเลยให้เกิดการทุจริตคอร์รัปชั่นภายใต้การบริหารงานของตนเอง ทั้งยังทุจริตเชิงนโยบาย บริหารบ้านเมืองเพื่อเอื้อผลประโยชน์แก่พวกพ้องและกลุ่มทุน แต่งตั้งบุคคลที่ขาดความเหมาะสม ขาดความรู้ความสามารถ หรือไม่ซื่อสัตย์สุจริตไปเป็นรัฐมนตรีหรือตำแหน่งสำคัญอื่น
นอกจากนี้ ยังสมัครใจยินยอมให้นายทักษิณ ชินวัตร ผู้เป็นบิดา ชี้นำ ชักใย ให้กระทำการหรืองดเว้นกระทำการอันเป็นเรื่องสำคัญของชาติบ้านเมือง ประพฤติตนเป็นเสมือนนายกรัฐมนตรีหุ่นเชิด โดยมีบิดาเป็นนายกรัฐมนตรีตัวจริงที่ไม่ต้องรับผิดชอบต่อการใช้อำนาจ
จากพฤติการณ์ดังที่พวกข้าพเจ้าได้กล่าวมา หากปล่อยให้นางสาวแพทองธาร ชินวัตร ยังคงบริหารราชการแผ่นดินสืบไป จะทำให้ประเทศชาติเสียหายอย่างร้ายแรงจนยากจะแก้ไขเยียวยาได้...”
อย่างไรก็ตาม หลังจากนั้น ฝ่ายค้านได้ขีดฆ่าถ้อยคำที่ระบุชื่อ นายทักษิณชินวัตร และพ่อ ออกไป
แล้วใส่ข้อความว่า “บุคคลในครอบครัว” แทน (ดังภาพเอกสารประกอบ)
นอกจากนี้ ยังปรากฏว่า พรรคส้มได้ใช้ถ้อยคำประดิษฐ์ว่า “ดีลแลกประเทศ” นำขึ้นมาโหมกระพือ ปลุกปั่นกล่าวหาว่าร้ายรัฐบาลและผู้เกี่ยวข้อง
ซึ่งคำว่า “ดีลแลกประเทศ” นี้ไม่ได้ปรากฏอยู่ในญัตติของเปิดอภิปราย
ไม่ได้ระบุชัดเจนว่า ใครดีลกับใคร
แต่มีการนำเสนอภาพโฆษณา สื่อสารให้เข้าใจว่า มีการดีลกันระหว่างฝ่ายนายกฯ แพทองธารและคนในครอบครัว กับบุคคลอื่น เป็นเหตุให้บ้านเมืองมีปัญหา เกิดความเสียหายร้ายแรง
วาทกรรม “ดีลแลกประเทศ” ที่พรรคส้มสร้างขึ้นมา ก็เหมือนครั้งหนึ่ง ที่ “พรรคแดง” เคยสร้างวาทกรรม “อำมาตย์” ขึ้นมา
ในความเป็นจริง รัฐบาลจะทำดี-ทำชั่ว นักการเมืองในรัฐบาลนั้นๆ ก็ต้องรับผิดชอบไป
ไม่เกี่ยวกับดีล หรืออำมาตย์
ยกตัวอย่าง เช่น
กรณีทักษิณไม่ได้นอนคุก แต่ไปอยู่โรงพยาบาลตำรวจ นั่นก็ไม่เกี่ยวกับดีลแลกประเทศอะไร จะผิดถูกก็อยู่ที่ราชทัณฑ์ ยุติธรรม รพ.ตร. ว่าปฏิบัติหน้าที่มิชอบอย่างไร? เพราะทักษิณได้รับพระราชทานอภัยลดโทษเหลือ 1 ปี หน้าที่บังคับโทษคือหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้อง ที่อยู่ใต้อำนาจรัฐบาลนี่เอง ไม่เกี่ยวกับสถาบันอื่นใด หากสามารถหาหลักฐานมาเอาผิดได้ ก็ดำเนินคดีตามกฎหมายได้ ซึ่งขณะนี้ ข้อมูลสำคัญอยู่ที่แพทยสภา
หรือถ้ารัฐบาลบริหารเศรษฐกิจผิดพลาดล้มเหลว ทำไม่ได้ตามนโยบายหาเสียง มันก็ไม่ใช่เพราะติดดีลแลกประเทศอะไรเลย แต่เป็นนักการเมืองในรัฐบาลนั่นเองที่ต้องรับผิดชอบ ไร้ฝีมือในการบริหารเอง ไม่สามารถจะอ้างดีลว่าจะต้องทำหน้าที่ต่อไป โดยไม่ต้องรับผิดชอบ
หรือกรณีรัฐบาลไม่ได้ยกเลิกเกณฑ์ทหารทันที ไม่ได้ขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 600 บาท เงินเดือนปริญญาตรี 25,000 บาททันที มันก็ไม่ใช่เพราะติดดีลแลกประเทศเช่นกัน แต่เพราะนโยบายพวกนี้มันไม่อยู่บนพื้นฐานความจริงมาแต่ต้น นักการเมือง(ทั้งพรรคส้มพรรคแดง)เอาไว้ปั่นหัวต้มตุ๋นหลอกเอาคะแนนเลือกตั้งเสียมากกว่า หาใช่ว่าทำไม่ได้เพราะมีดีลอะไรเลย ฯลฯ
การโฆษณาชวนเชื่อด้วยวาทกรรม “ดีลแลกประเทศ” คือ การโยนบุคคลที่สาม ให้เป็นแพะรับบาป ในฐานที่มีดีลให้เพื่อไทยมาเป็นรัฐบาล
ทั้งๆ ที่ความจริง การตั้งรัฐบาลทุกยุค ก็จะต้องมีการเจรจาพูดคุย ต่อรอง เพื่อหาเสียงข้างมากเพียงพอที่จะจัดตั้งรัฐบาล แต่เมื่อเป็นรัฐบาลแล้ว คนในรัฐบาลนั่นเองที่จะต้องรับผิดชอบต่อการทำหน้าที่ของตนเอง หาใช่เรื่องที่จะไปกล่าวโทษการมีดีลในจินตนาการอะไรแต่อย่างใดเลย
เจตนาของการประโคมวาทกรรมเช่นนี้ สะท้อนว่า ฝ่ายพรรคส้มพยายามจะเบี่ยงประเด็น แทนที่จะเล่นงานนายกฯ และคนในครอบครัวโดยตรง แต่จะปั้นเรื่องเพื่อกระทบชิ่งไปยังบุคคลที่สามด้วย เหมือนที่เคยพยายามกระทำกัดกร่อนบั่นเซาะบ่อนทำลายมาโดยตลอด หรือไม่?
ประการสำคัญ ข้อความในญัตติฯ ที่ว่า “...เป็นนั่งร้านช่วยเหลือต่างตอบแทนกลุ่มบุคคลที่เป็นปฏิปักษ์ต่อระบอบประชาธิปไตย...”
ถามว่า พรรคส้มเอง กำลังเป็น “นั่งร้านเป็นนั่งร้านช่วยเหลือต่างตอบแทนกลุ่มบุคคลที่เป็นปฏิปักษ์ต่อระบอบประชาธิปไตย” เสียเองหรือไม่? ดังปรากฏว่า ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยประเด็นล้มล้างการปกครอง เซาะกร่อนบ่อนทำลายฯ ชี้ชัดว่าใครเป็นปฏิปักษ์ต่อระบอบประชาธิปไตย แล้วปัจจุบันพรรคประชาชนกำลังต่างตอบแทนใครเล่า ลองคิดดู?
2.น่าเสียดาย ฝ่ายค้านเลือกที่จะเล่นการเมือง ด้วยการปั้นแต่งวาทกรรม และจำกัดการอภิปรายไว้เฉพาะตัวนายกฯแพทองธาร ทำให้ประเทศชาติเสียโอกาสที่จะใช้กลไกลนี้ตรวจสอบเจาะลึกการทำงานรายกระทรวงในยุครัฐบาลปัจจุบันอย่างที่ควรจะเป็น
3.การอภิปรายหากพาดพิงบุคคลภายนอกที่ไม่ใช่รัฐมนตรี ไม่ใช่ สส.
แม้ญัตติจะระบุถึง “บุคคลในครอบครัว” แต่ถึงเวลาอภิปรายจริง น่าสนใจว่าจะมีข้อมูล หลักฐาน พาดพิงพัวพันถึงบุคคลใดบ้าง แค่ไหน?
และเชื่อว่า คงจะมี สส. ฝ่ายรัฐบาลลุกขึ้นประท้วงแน่นอน
บทเรียนตัวอย่าง กรณีการอภิปรายในสภา แล้ว สส.ในสภาอภิปรายพาดพิงบุคคลภายนอก ในประเด็นสำคัญ ถึงขนาดเกิดคดีความตามมานั้น คือ กรณีเกี่ยวกับการลอยตัวค่าเงินบาท เมื่อปี 2540
เมื่อครั้งการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ เกี่ยวกับการลดค่าเงินบาท
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตสส. พรรคประชาธิปัตย์ลุกขึ้นอภิปราย พาดพิงนายทักษิณ ชินวัตร (ตอนนั้นเป็นรัฐมนตรีในรัฐบาลชวลิต) และนายโภคิน พลกุล ซึ่งขณะอภิปรายไม่ได้เป็น สส. และไม่ได้เป็นรัฐมนตรี
ตอนนั้น นายสุเทพตั้งข้อสงสัยทำนองว่านายโภคิน (อดีต รมต.ประจำสำนักนายกฯ ช่วงลอยตัวค่าเงินบาท) ได้นำมติจากที่ประชุมลับเรื่องการลดค่าเงินบาท ไปบอกทักษิณ ชินวัตร ทำให้บริษัทของทักษิณได้ประโยชน์
ปรากฏว่า นายโภคิน พลกุล ฟ้องเรียกค่าเสียหายจากนายสุเทพ เทือกสุบรรณ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่านายสุเทพมีความผิด
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้อง
คดีสู้กันจนถึงชั้นศาลฎีกา
ศาลฎีกามีคำพิพากษาที่ 5730/2550 เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2550 ยกฟ้อง
ในคดีนี้ จำเลยนำสืบว่า ขณะเกิดเหตุ เป็น สส. อภิปรายในสภาเกี่ยวกับพฤติกรรมของโจทก์ที่เกี่ยวข้องกับพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ นายกรัฐมนตรี ในเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงค่าเงินบาท ประเพณีปฏิบัติที่ทำกันทุกสมัยในกรณีที่จะตัดสินใจเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงค่าเงินบาทนั้น ผู้เข้าร่วมประชุมจะมีเพียง 3 คน คือ นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย แต่การประชุมในวันที่ 29 มิถุนายน 2540 นั้น โจทก์เข้าร่วมประชุมด้วยทั้งที่ไม่มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงการคลังหรือธนาคารแห่งประเทศไทย
ก่อนเกิดเหตุคดีนี้ พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ ยืนยันต่อสื่อมวลชนว่าเรื่องนี้ได้ทำเป็นความลับโดยมีผู้รู้เห็นเพียง 3 คน คือ ตนเอง นายทนง พิทยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และนายเริงชัย มะระกานนท์ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย แต่จำเลยทราบว่า โจทก์เข้าร่วมประชุมด้วย โดยทราบจากนายภูษณ ปรีย์มาโนช นายไพโรจน์ เปี่ยมพงษ์สานต์ และนายเริงชัย มะระกานนท์ เมื่อจำเลยทราบว่าโจทก์เข้าร่วมประชุมด้วย จึงเห็นเป็นข้อพิรุธว่าโจทก์สามารถนำข้อมูลดังกล่าวไปใช้ประโยชน์ในการค้าขายเก็งค่าเงินบาทได้ผลกำไร
ศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยที่ 1 (นายสุเทพ) เป็น สส. มีสิทธิและหน้าที่ตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลพลเอกชวลิตได้ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย โจทก์ซึ่งเป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีในรัฐบาลพลเอกชวลิต เป็นบุคคลที่ต้องรับการตรวจสอบจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
“....การกระทำของพลเอกชวลิตที่ยอมให้โจทก์ได้ร่วมรับรู้ถึงการปรึกษาหารือและตัดสินใจเปลี่ยนแปลงระบบอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาท อันเป็นเรื่องความลับที่สุดซึ่งเกี่ยวกับประโยชน์และส่วนได้เสียของประเทศและประชาชนจำนวนมากเมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2540 ก่อนวันประกาศเปลี่ยนแปลงระบบอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทเมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2540 ถึง 3 วัน ทั้งๆ ที่โจทก์ไม่มีหน้าที่เกี่ยวข้องหรือควรรับรู้ถึงการปรึกษาหารือและการตัดสินใจในครั้งนี้เลย และหลังจากนั้นยังยืนยันในที่สาธารณะต่อสื่อมวลชนมาโดยตลอดว่า มีผู้รู้ถึงการตัดสินใจเปลี่ยนแปลงระบบอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทเพียง 3 คนเท่านั้น คือ ตัวพลเอกชวลิต นายทนง และนายเริงชัย เป็นข้อพิรุธสำคัญ
ประกอบกับพันตำรวจโททักษิณ ซึ่งเป็นเจ้าของธุรกิจการค้ารายใหญ่ไม่ได้รับผลกระทบเสียหายรุนแรงจากการเปลี่ยนแปลงระบบอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทอย่างผู้ประกอบธุรกิจการค้าใหญ่รายอื่นที่มีหนี้สินเป็นเงินตราต่างประเทศที่ต่างประสบความเสียหายอย่างรุนแรง ย่อมเป็นมูลเหตุเพียงพอที่จะทำให้จำเลยที่ 1 ซึ่งปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายตั้งข้อสงสัยโจทก์ได้
จำเลยที่ 1 เพียงแต่ตั้งข้อสงสัยว่าโจทก์เป็นผู้นำเอาความลับที่สุดดังกล่าวที่รู้มาโดยไม่มีหน้าที่เกี่ยวข้องและไม่ควรจะรู้ไปบอกพันตำรวจโททักษิณ ไม่ได้เป็นการยืนยันข้อเท็จจริง
การตั้งข้อสงสัยดังกล่าวของจำเลยที่ 1 จึงมีมูลเหตุเพียงพอที่จะให้ตั้งข้อสงสัยเช่นนั้นได้ ไม่ได้ตั้งข้อสงสัยอย่างเลื่อนลอย อันจะทำให้เห็นเจตนาร้ายของจำเลยที่ 1 ที่จงใจฉวยโอกาสในระหว่างการปฏิบัติหน้าที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรคฝ่ายค้านให้ร้ายโจทก์โดยปราศจากเหตุอันสมควร
การอภิปรายของจำเลยที่ 1 ที่พาดพิงถึงโจทก์นั้นยังอยู่ในขอบเขตของการปฏิบัติหน้าที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรฝ่ายค้านในการตรวจสอบการทำงานของพลเอกชวลิต นายกรัฐมนตรีเพื่อผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน อันเป็นวิสัยที่พึงกระทำคำอภิปรายของจำเลยที่ 1 ไม่ได้เป็นการกล่าวหรือไขข่าวแพร่หลายซึ่งข้อความอันฝ่าฝืนต่อความจริง จึงไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์
ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้อง ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผลฎีกาข้อนี้ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น จึงไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาข้ออื่นของโจทก์อีกต่อไป”
นั่นคือประวัติศาสตร์การทำหน้าที่ของฝ่ายค้านในอดีต พาดพิงคนนอก แล้วถูกฟ้องร้อง แต่ชนะคดี และสังคมได้รับรู้ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับประโยชน์สาธารณะอย่างไร
แต่สำหรับฝ่ายค้านปัจจุบัน โดยเฉพาะพรรคส้มที่มีผลประโยชน์ทางการเมืองบางเรื่องร่วมกับฝ่ายรัฐบาล จะกล้าลากไส้ “สทร.” ในยุคปัจจุบันแค่ไหน ?
หรือเพียงแค่ปั้นแต่งวาทกรรม เพื่อกล่าวโทษบุคคลที่สาม กล่าวหาว่ามีดีลแลกประเทศเพียงเพื่อโยนความรับผิดชอบไปให้บุคคลที่สามอย่างไม่เป็นธรรม และไร้ประโยชน์ต่อสังคมหรือไม่? คอยติดตามต่อไป
สันติสุข มะโรงศรี
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี