หลังจากกรุงศรีอยุธยาแตกพ่ายและทำให้ไทยต้องเสียอิสรภาพเป็นครั้งที่ ๒ ในเดือนเมษายน พุทธศักราช ๒๓๑๐ และพระยาวชิรปราการซึ่งต่อมาคือสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช สามารถกู้ชาติกลับคืนมาได้โดยใช้ระยะเวลาเพียงแค่ ๗ เดือนหลังจากการเสียกรุง โดยทรงยกทัพเรือจำนวนประมาณ ๑๐๐ ลำ ฝ่าคลื่นลมจากจันทบุรีมาถึงปากอ่าวไทย ล่องขึ้นไปตามลำน้ำเจ้าพระยาจนถึงกรุงศรีอยุธยา และเข้าตีค่ายของพม่าที่ตั้งรักษากรุงอยู่ที่โพธิ์สามต้นจนแตกพ่าย แม่ทัพของพม่าคือสุกี้พระนายกองเสียชีวิตในที่รบ
เหตุการณ์รบชนะทัพของพม่าในครั้งนั้นเกิดขึ้นเมื่อวันที่ ๖ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๓๑๐ ทำให้ชาติไทยได้อิสรภาพกลับคืนมา แต่ถึงอย่างไรก็ตาม พระองค์ยังคงต้องทำการปราบปรามชุมนุมต่างๆ ที่อยากจะตั้งตัวเป็นใหญ่ ได้แก่ ชุมนุมพระยาพิษณุโลก ชุมนุมเจ้าพระฝาง ชุมนุมเจ้าพิมาย ชุมนุมเจ้าพระยานครศรีธรรมราชและชุมนุมเจ้าฟ้าจุ้ย ซึ่งในที่สุดพระองค์ก็ทำการสำเร็จ จึงได้ปราบดาภิเษกขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์ปกครองราชอาณาจักรสยามต่อมา
การเสียอิสรภาพในครั้งที่ ๒ นี้ กรุงศรีอยุธยาถูกเผาทำลายจนเรียกได้ว่าราบเป็นหน้ากลอง ทรัพย์สินสมบัติต่างๆ ถูกอริราชศัตรูนำกลับไปยังประเทศของตนเองเกือบทั้งหมด ทำให้ชาติไทยในช่วงเวลานั้นยากจนเป็นอย่างยิ่ง เกิดภาวะข้าวยากหมากแพงกระจายไปทุกหย่อมหญ้า รวมทั้งเงินในพระคลังก็ไม่ได้มีอยู่มากพอเพียงที่จะใช้ในการทำนุบำรุงบ้านเมืองได้
ได้มีการบันทึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์ซึ่งก็มีการโต้แย้งกันอยู่มากพอสมควร ในเรื่องที่กล่าวว่าพระเจ้าตากได้ขอกู้เงินจีนเป็นจำนวนมาก เพื่อใช้ในการทำนุบำรุงบ้านเมือง โดยนักประวัติศาสตร์ส่วนหนึ่งเชื่อว่า เรื่องที่อาณาจักรสยามต้องเป็นหนี้จีนในสมัยของจักรพรรดิเฉียนหลงเป็นเงินจำนวนถึง ๖๐,๐๐๐ ตำลึง ซึ่งในสมัยนั้นนับว่าเป็นเงินจำนวนมหาศาล เป็นเรื่องจริง และไม่สามารถจะชำระหนี้ดังกล่าว ซึ่งเป็นเรื่องที่อาจจะเป็นเหตุให้ในที่สุดต้องมีการสร้างสถานการณ์ว่า พระเจ้าตากสิ้นพระชนม์แล้วจากการถูกสำเร็จโทษโดยเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก โดยอ้างว่าเหตุผลที่ต้องทำอย่างนั้น เพราะพระเจ้าตากในขณะนั้นหมกมุ่นในศาสนาจนสติวิปลาส ฟั่นเฟือน ไม่สามารถจะบริหารราชการแผ่นดินได้อีกต่อไป การสิ้นพระชนม์ของพระเจ้าตากจึงเป็นการทำให้ภาระหนี้สินของชาติ ที่กู้เงินจากจักรพรรดิจีน เป็นอันต้องยุติลง เป็นการปลดหนี้ทางอ้อม
แต่ก็มีนักประวัติศาสตร์จำนวนหนึ่ง กล่าวแย้งว่า เรื่องที่พระเจ้าตากถูกสำเร็จโทษ และเรื่องที่พระองค์ท่านกู้หนี้ยืมสิน จากจักรพรรดิจีนนั้น ไม่เป็นจริงทั้ง ๒ เรื่อง โดยในส่วนของการสูญหายไปของพระองค์นั้น เป็นลักษณะของการสมยอม ให้พระองค์หนีออกจากกรุงธนบุรี และในที่สุดไปบวชเป็นภิกษุจำพรรษาอยู่ที่ถ้ำเขาขุนพนม จังหวัดนครศรีธรรมราช ซึ่งสถานที่แห่งนั้นยังปรากฏอยู่ และมีหลักฐานร่องรอยว่าพระองค์น่าจะได้ไปอยู่ที่นั่นจริง
ส่วนเรื่องของการกู้หนี้นั้น หนังสือบันทึกทางประวัติศาสตร์ของจีนเองที่มีชื่อว่าชิงสือลู่ได้กล่าวไว้ว่า พระเจ้าตากไม่ได้กู้เงินจากจีนอย่างแน่นอน เพราะเมื่อมีการเปลี่ยนแผ่นดินนั้น ประเทศจีนไม่ยอมรับการที่พระองค์ขึ้นมาเป็นพระมหากษัตริย์โดยการปราบดาภิเษก โดยประเทศจีนจะยอมรับพระมหากษัตริย์ ที่สืบเชื้อสายจาก ราชวงศ์ที่ปกครองอยู่เดิมเท่านั้นในการที่จะขึ้นมาเป็นพระเจ้าแผ่นดินองค์ใหม่ ซึ่งถึงแม้ว่าพระเจ้าตากจะพยายามส่งราชทูตไปเจริญสัมพันธไมตรีหลายครั้ง พร้อมเครื่องบรรณาการต่างๆ ก็ยังไม่ประสบความสำเร็จ จนกระทั่งเกือบจะถึงปลายสมัยของพระองค์ที่จักรพรรดิเฉียนหลงได้ยอมรับให้พระองค์เป็นพระมหากษัตริย์แห่งราชอาณาจักรสยาม และเริ่มมีราชไมตรีต่อกันอีกครั้งหนึ่ง ไม่มีการกล่าวใดๆเลยว่า พระองค์ทรงกู้เงิน จากราชอาณาจักรจีน
จึงเห็นได้ว่า การกู้หนี้ยืมสินนั้นเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดปัญหาอย่างแน่นอน ไม่ว่าการกู้ที่ทำให้ผู้กู้กลายเป็นลูกหนี้จะมีจำนวนเงินมากน้อยเพียงใด และหากการกู้นั้นมีจำนวนมากก็จะเกิดปัญหาติดตามมาว่าลูกหนี้จะไม่สามารถชำระเงินคืนได้ ซึ่งจะทำให้เกิดเรื่องราวร้ายๆ ติดตามมาอย่างมากมาย จนแม้แต่การทำลายชีวิต
ถึงแม้ชาติไทยของเราจะมีทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ไม่แพ้ชาติใดในภูมิภาคนี้ และเป็นประเทศเกษตรกรรมที่สำคัญ แต่ชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนส่วนใหญ่ก็ยังเป็นปัญหาอยู่มาก การประกอบอาชีพต่างๆ ที่เป็นอาชีพสุจริตถึงแม้จะกระทำได้แต่บางครั้งก็ไม่สามารถจะสร้างรายได้ให้เพียงพอต่อการยังชีพของครอบครัว ดังจะเห็นว่ายังมีชาวนาชาวสวนและชาวไร่จำนวนมาก ที่ไม่สามารถใช้พื้นที่เกษตรกรรมสร้างฐานะของตัวเองให้อยู่ในลักษณะของการอยู่ดีกินดีได้
ในส่วนของความพยายามของรัฐที่จะทำให้ประเทศไทยเป็นประเทศอุตสาหกรรมควบคู่กับเกษตรกรรมนั้น ก็ไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร เพราะในที่สุดก็กลายเป็นว่า คนไทยเองส่วนใหญ่ไม่สามารถจะเป็นเจ้าของอุตสาหกรรมที่มีขนาดใหญ่ได้เลย อุตสาหกรรมทั้งหลายตกไปอยู่ในมือของนักลงทุนต่างชาติเกือบทั้งสิ้นจากการเชิญชวนของรัฐบาลนั่นเอง ทำให้คนไทยมีส่วนร่วมในอุตสาหกรรมต่าง ๆ ได้เพียงแค่เป็นคนงานคือเป็นผู้ใช้แรงงานเท่านั้น เมื่อเป็นเช่นนี้จึงไม่สามารถจะสร้างรายได้ให้พอเพียงกับการดำรงชีวิตที่ดีได้เช่นเดียวกัน
เมื่อความยากจนคืบคลานเข้ามา จึงปฏิเสธไม่ได้ว่าคนจำนวนไม่น้อยต้องกู้เงินเพื่อการดำรงชีพทั้งๆ ที่ รู้ตัวเองว่าไม่มีวันจะปลดหนี้สินที่จะเกิดขึ้นได้ ทั้งการกู้ในระบบที่ขาดการตรวจสอบที่แท้จริง และการกู้นอกระบบที่มีอัตราดอกเบี้ยที่เอาเปรียบอย่างชัดเจน ทำให้หนี้สินที่เกิดขึ้นในที่สุดกลายเป็นหนี้เน่า
ข้อมูลด้านตัวเลขของยอดหนี้ครัวเรือนที่ประชาชนสร้างขึ้น ณ ในขณะนี้จึงเป็นตัวเลขที่สูงมาก โดยจนถึงช่วงปลายปี ๒๕๖๗ นั้น ยอดหนี้ครัวเรือนของประเทศไทยมีจำนวนถึง ๑๖.๓ ล้านล้านบาท คิดเป็น ๘๙% ของ GDP มากกว่างบประมาณแผ่นดินรายปีและถือว่าเข้าสู่จุดวิกฤต
ข้อมูลทางด้านเครดิตบูโรได้ระบุไว้ว่า มีหนี้ที่ไม่สามารถระบุตัวตนถึง ๘๔ ล้านบัญชี เป็นยอดหนี้คงค้างมากกว่า ๑๓.๖ ล้านล้านบาท สัดส่วนคนที่เป็นหนี้เสียเพิ่มมากขึ้นจนเป็น ๒๒% และยอดหนี้สินเฉลี่ยของผู้กู้ ตลอดทุกช่วงอายุ เป็น ๑๐๘,๐๐๐ บาทต่อคน
ผู้ที่อยู่ในวัยสร้างครอบครัวอายุระหว่าง ๓๕-๕๐ ปี เป็นกลุ่มที่ก่อหนี้มากสุดคิดเป็น ๖๒% ของประชากรกลุ่มนี้ โดย ๔๓% เป็นหนี้ส่วนบุคคล รองลงมาคือหนี้เช่าซื้อรถและหนี้บัตรเครดิต ๓๓% และ ๑๗% ตามลำดับ ๒๓% ภาระหนี้เฉลี่ย ๑.๕๔ แสนบาทต่อคน
กลุ่มที่เข้าสู่วัยทำงาน อายุระหว่าง ๒๕ ถึง ๒๙ ปี ประมาณ ๔.๖ ล้านคน ประมาณ ๔๓% เป็นหนี้ส่วนบุคคลและหนี้มอเตอร์ไซค์ และประมาณ ๒๐ - ๓๐% ของกลุ่มหนี้มอเตอร์ไซค์นี้เป็นกลุ่มหนี้เสีย
ในกลุ่มประชากรหลังวัยเกษียณ อายุระหว่าง ๖๐-๘๐ ปี พบว่า ๒๙% มีหนี้ในระบบเฉลี่ยต่อคน ๑.๐๒ แสนบาท และกลายเป็นปัญหาเรื้อรังเพราะความสามารถในการหารายได้ต่ำลงมากซึ่งสวนทางกับค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพที่เพิ่มขึ้น
พฤติกรรมการก่อหนี้มีมากขึ้นจนมีคนส่วนหนึ่งซึ่งเป็นหนี้ตลอดชีวิต พบว่าในกลุ่มนี้ที่มีอายุระหว่าง ๒๐-๘๐ ปี เป็นหนี้สินส่วนบุคคลมากกว่า ๔๐% ของบัญชีทั้งหมด โดยเป็นจากบ้านและรถยนต์ถึง ๒๘.๒% ของบัญชี
การที่ผู้ช่วยหาเสียงที่เป็นอดีตนายกฯของพรรคเพื่อไทย ได้กล่าวบนเวทีสาธารณะในลักษณะของประชานิยมว่าจะซื้อหนี้ให้ประชาชนโดยรัฐบาลจะเข้าไปรับภาระหนี้สินจากธนาคารเอง ซึ่งก็ทำให้ผู้ที่มีหนี้สินทั้งหลายชื่นชอบ แต่ก็เป็นการหาเสียงโดยมิได้คำนึงถึงผลกระทบในหลายๆ ด้านที่จะติดตามมา
แนวคิดเรื่องการปลดหรือลดหนี้มีมานานแล้วโดยดำเนินการอยู่ในหลายประเทศในประเทศไทยก็เคยทำอยู่บ้างแล้ว โดยทำให้กับประชาชนที่มีปัญหาอย่างแท้จริง ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นหนี้นอกระบบที่จำนวนหนี้อาจจะไม่มากนัก การหาเสียงโดยไม่ระมัดระวังในคำพูดว่าจะปลดหนี้ให้ทั้งหมดนั้น หากผู้พูดไม่ต้องรับผิดชอบต่อคำพูด ก็เป็นเรื่องที่แล้วไป จึงเป็นเรื่องที่จะต้องติดตามดู
หากเรื่องการปลดหรือซื้อหนี้นี้เกิดขึ้นจริงโดยพรรคการเมืองฝ่ายรัฐบาลนำสิ่งที่มีคนพูดในลักษณะของการครอบงำนั้นมาทำให้เกิดขึ้นก็จะสร้างผลกระทบทางสังคมมาก เป็นการทำให้ประชาชนบ่มเพาะนิสัยของการก่อหนี้โดยไม่คำนึงถึงความสามารถในการชำระหนี้แต่อย่างใดเพราะรู้ว่าพรรคการเมืองที่ต้องการได้คะแนนเสียงจะเป็นผู้แก้ไขปัญหาให้ นับเป็นพฤติกรรมที่เสื่อมโทรม และเป็นอันตรายต่อสังคมในระยะยาวเป็นอย่างยิ่ง
ปิยะ เนตรวิเชียร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี