การอภิปรายไม่ไว้วางใจ“มาดามแพทองโพย”ผู้ขาดคุณสมบัติในการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เพราะขาดภาวะผู้นำ ขาดวุฒิภาวะ และขาดความรู้ความสามารถ ตามที่ฝ่ายค้านระบุไว้ในญัตติ วันแรกเมื่อวันที่ 24 มีนาคมวานนี้นั้น ต้องถือว่าเข้าเป้า
อย่างน้อย ก็ได้เห็นพฤติกรรมของ“มาดามแพทองโพย” และ“บุคคลในครอบครัวตระกูลชินวัตร” ที่นอกจากจะไม่มีความชื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์แล้ว ก็ยังมีพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง อันขัดต่อคุณสมบัติของผู้ที่จะดำรงตำแหน่ง“นายกรัฐมนตรี”ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมธรรมนูญฉบับปี 2560 มาตรา 160 (4) และมาตรา 160 (5)
ลีลาของ“ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ” หัวหน้าพรรคประชาชน ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ที่ลุกขึ้นมาเปิดประเด็นการอภิปรายฉายภาพกว้างคนแรก ยังไม่หนักแน่นและคมพอ เปรียบเป็น“ไก่ชน”ก็เหมือนไก่หนุ่มที่เพิ่งจะลงสังเวียนครั้งแรก ยังไม่ครบเครื่องสมกับที่เป็นผู้นำฝ่ายค้านฯ
สำหรับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ แม้จะเป็น“ทหารแก่”แต่ก็ยังรักษารูปมวย แบบยืนระยะจนอภิปรายครบ 10 นาที โดยพุ่งเป้าไปที่“มาดามแพทองโพย”ในฐานะผู้นำรัฐบาล ว่ามีการทำนิติกรรมอำพราง ทั้งเรื่องหุ้นและเรื่องที่ดิน อีกทั้งยังปล่อยให้ประชาชนมีหนี้ท่วมหัว หุ้นดิ่งเหวเป็นประวัติศาสตร์ ความเชื่อมั่นของประเทศถดถอย ฯลฯ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงการ“เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์” ซึ่ง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ชี้ว่า จะมีช่องให้เกิดการทุจริตเชิงนโยบาย และเอื้อประโยชน์ให้กับพวกพ้อง พร้อมกับกล่าวว่า “ขอย้ำว่า โครงการนี้อันตรายอย่างที่สุด เพราะจะทำให้เกิดธุรกิจสีเทาตามมาอีกมาก ซึ่งทุกวันนี้ การปล่อยปละละเลยในเรื่องต่างๆ ก็ส่งผลให้ไทยกลายเป็นแหล่งฟอกเงินของธุรกิจสีเทา และปัญหาอาชญากรรมมากมาย”
และอีก 2 ย่อหน้าจากการอภิปรายของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ
“ผมเห็นใจนายกรัฐมนตรีที่ต้องเป็นผู้ตัดสินใจ ในเรื่องที่ท่านไม่มีประสบการณ์ แต่เรื่องความมั่นคงของชาติสำคัญอย่างยิ่ง ประเทศชาติไม่ใช่เวทีให้มือสมัครเล่นมาซ้อมมือ นอกจากนี้นายกรัฐมนตรีขาดคุณสมบัติตามรัฐธรรมนูญมาตรา 160 (4) และ (5)ไม่มีความซื่อสัตย์สุจริต เป็นที่ประจักษ์ โดยเฉพาะเรื่องการถือหุ้น บริษัท อัลไพน์ กอล์ฟ แอนด์ สปอร์ตคลับ จำกัด ตลอดจนการปล่อยปละละเลย ให้บุคคลในครอบครัวกระทำการ ให้เกิดผลกระทบต่อการปฏิบัติหน้าที่ของตน เรื่องนี้ขอให้เป็นการตรวจสอบขององค์กรที่เกี่ยวข้องต่อไป ผลเป็นเช่นไร เชื่อว่าประชาชนจะเป็นผู้ตัดสินท่านเอง”
“ผมเป็นคนพูดไม่เก่ง อาจไม่กระฉับกระเฉงเท่าตอนเป็นหนุ่มๆ ผมจึงใช้‘ใจบันดาลแรง’บริหารประเทศ ให้สำเร็จมาได้หลายอย่าง ส่วนนายกรัฐมนตรีเป็นคนหนุ่มสาวที่ยังมีแรง ผมเชื่อว่าถ้าท่านบริหารประเทศด้วยสติปัญญา มีความอ่อนน้อม แต่หนักแน่นในหลักการ ยึดถือประโยชน์ของประเทศชาติมากกว่าครอบครัว พวกพ้อง ผมเชื่อว่าประชาชน จะชื่นชมและยอมรับท่านเองครับ ขอให้โชคดีครับ”
หลังจาก พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ อภิปรายจบ “มาดามแพทองโพย”ผู้ไร้ความสามารถในการบริหารประเทศ แต่ถนัดในเรื่องต่อปากต่อคำ ก็ได้ลุกขึ้นมาตอบโต้ โดยมีนัยพาดพิงไปถึงกรณี“นาฬิกายืมเพื่อน” ที่ พล.อ.ประวิตร เคยถูก ป.ป.ช.สอบสวนและปฏิเสธว่าไม่เป็นความจริง ว่า“สำหรับสมาชิกหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐผู้อาวุโสเมื่อกี้ ได้ฟังท่านพูดและจับเวลานาฬิกาด้วยตัวเอง ท่านพูดประมาณ 10 นาที และอยากจะบอกว่า ที่ท่านสมาชิกอาวุโสพูดเมื่อสักครู่นี้ไม่เป็นความจริงค่ะ”
ที่ได้น้ำได้เนื้อจากการอภิปรายในวันแรก คือข้อมูลเชิงลึกที่นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคประชาชน เปิดโปง“มาดามแพทองโพย” โดยมีฐานข่าวมาจาก“สำนักข่าวอิศรา”ในกรณีที่“มาดามแพทองโพย”มีพฤติกรรมหลีกเลี่ยงภาษี“การรับให้” มาตั้งแต่ปี 2559 ด้วยการอาศัยช่องโหว่ทางกฎหมาย
รองหัวหน้าพรรคประชาชนชี้ว่า “เรื่องนี้สามารถแกะรอยได้จากบัญชีทรัพย์สินที่นายกรัฐมนตรียื่นต่อ ป.ป.ช. พบว่า นางสาวแพทองธาร เป็นลูกหนี้อยู่ 9 รายการ มูลค่าหนี้สินรวม 4,434.5 ล้านบาท มีเอกสารแนบมาเพียงแค่ 9 แผ่น รายการละ 1 แผ่น โดยเป็นหนี้ที่ไม่ได้อยู่ในรูปของสัญญาเงินกู้ แต่เป็น ‘ตั๋วสัญญาใช้เงิน’ (PN) ซึ่งเป็นเอกสารที่ออกแทนการจ่ายเงินสดในการซื้อหุ้นจากสมาชิกในครอบครัว”
นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ระบุว่า หนี้สินดังกล่าวจึงไม่ใช่หนี้ที่อยู่ในรูปแบบของสัญญาเงินกู้ แต่เป็น “ตั๋วสัญญาใช้เงิน” หรือ ตั๋ว PN ซึ่งเป็นหนี้สินที่นางสาวแพทองธาร ชินวัตร ซื้อหุ้นจากพี่สาว พี่ชาย ลุง ป้าสะใภ้ และแม่ แบบ “ซื้อเชื่อ” แล้วออกตั๋ว PN แทนการจ่ายเงิน โดยตั๋วสัญญานี้ ไม่มีเงื่อนไขระบุวันครบกำหนดชำระ อันอาจเข้าข่ายเป็นกลไกเพื่อหลีกเลี่ยงภาษี โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อกฎหมายภาษีการรับให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2559
ทั้งนี้ รองหัวหน้าพรรคประชาชน ชี้ในรายละเอียดว่า เพื่อให้สะดวกในการยักย้ายถ่ายเททรัพย์สิน “มาดามแพทองโพย”จึงใช้ตั๋ว PN เป็นเครื่องมือธุรกรรมซื้อขายปลอม โดยวิโรจน์ ลักขณาอดิศร กล่าวว่า “ไม่ใช่หลีกเลี่ยงภาษี แต่ใช้นิติกรรมอำพราง เพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจสอบอีกกระทง ถ้าเจตนาแท้จริงนางสาวแพทองธารได้หุ้น‘รับให้’จากเครือญาติ แต่จงใจใช้ตั๋ว PN เป็นเครื่องมือสร้างหนี้ปลอม สร้างธุรกรรมซื้อหุ้นปลอม พฤติกรรมแบบนี้คือทำนิติกรรมอำพราง หลีกเลี่ยงจ่ายภาษีรับให้ เข้าข่ายมีความผิด กรณีไม่จ่ายภาษี ตามประมวลกฎหมายรัษฎากร มาตรา 37 (2)”
อย่างไรก็ดี นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ทิ้งท้ายว่า “การหลีกเลี่ยงหนีภาษีการรับให้ สมควรให้นางสาวแพทองธารยืนลอยหน้าลอยตาเป็นนายกรัฐมนตรีได้อย่างไร เพราะหน้าที่ของปวงชนชาวไทยต้องเสียภาษี แต่แพทองธารหนีภาษีการรับให้ จะเป็นนายกรัฐมนตรีได้อย่างไร”
นอกจากนี้ นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ยังตั้งคำถามเกี่ยวกับการโอนหุ้น 19 บริษัท มูลค่ากว่า 9 พันล้านบาท โดยเฉพาะการโอนหุ้น 2 บริษัท มูลค่ารวม 393.5 ล้านบาท ให้แก่สมาชิกในครอบครัว ได้แก่ 1. บริษัทอัลไพน์ กอล์ฟ แอนด์ สปอร์ตคลับ จำกัด มูลค่า 224.1 ล้านบาท โอนให้“คุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์”ผู้เป็นมารดา เมื่อวันที่ 4 กันยายน 2567 และ 2. บริษัทประไหมสุหรี พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด มูลค่า 169.4 ล้านบาท โอนให้“พินทองทา ชินวัตร คุณากรวงศ์”ซึ่งเป็นพี่สาว เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2567
กรณีนี้ นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ระบุว่า “โดยการโอนหุ้นดังกล่าว หากเป็นการให้โดยเสน่หา ผู้รับโอนต้องเสียภาษีรับให้ตามกฎหมาย ซึ่งในกรณีนี้แม่ของนายกรัฐมนตรีต้องเสียภาษี 10.2 ล้านบาท ขณะที่พี่สาวต้องเสียภาษี 8 ล้านบาท รวมเป็น 18.2 ล้านบาท คำถามคือ รัฐจะได้รับภาษีส่วนนี้หรือไม่ ภายในวันที่ 31 มีนาคม 2568 ทุกคนจะได้รู้คำตอบ” ซึ่งวันที่ 31 มีนาคมที่นายวิโรจน์กล่าวถึง คือวันสุดท้ายที่กำหนดให้ผู้มีรายได้ในปี 2567 ยื่นแบบแสดงรายการภาษี ภ.ง.ด. 90/91
จะอะไรก็ตาม ทั้งเรื่องหนี้และเรื่องหุ้น ที่“วิโรจน์ ลักขณาอดิสร”นำมาอภิปรายโดยเปรียบเปรย“มาดามแพทองโพย”ว่าเหมือนกับ“โจรสวมอาภรณ์ขุนนางใส่รองเท้าไข่มุก”นั้น “มาดามแพทองโพย”โต้กลับว่า “ทั้งหมดนั้นไม่เป็นความจริง แม้ดิฉันจะอายุน้อยกว่าท่าน แต่ก็มั่นใจว่า ดิฉันเสียภาษีให้รัฐมากกว่าท่านแน่นอน”
สรุปอีกครั้ง เรื่องนี้จริงเท็จอย่างไร หลังจากการอภิปรายเสร็จสิ้น พรรคร่วมฝ่ายค้านก็คงจะรวบรวมพยานหลักฐานและเอกสารต่างๆ ส่งให้ ป.ป.ช.ดำเนินการกับ“มาดามแพทองโพย”ในขั้นตอนต่อไป กรณีขาดคุณสมบัติในการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญมาตรา 160 (4) และ (5)
ทั้ง“ไม่มีความชื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์” แล“มีพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง”
รุ่งเรือง ปรีชากุล
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี