ประเทศไทย คือ “ราชาแห่งทุเรียน” เป็นผู้ส่งออกทุเรียนรายใหญ่ของโลก
สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจไม่ต่ำกว่า 150,000 ล้านบาทต่อปี
แหล่งผลิตหลักอยู่ในภาคตะวันออก และภาคใต้
ปีนี้ ทุเรียนส่งออกไปจีน กำลังเจอบททดสอบท้าทายสำคัญ คือ การตรวจสารปนเปื้อน
1. ปีนี้ มีการประกาศวันเก็บเกี่ยวทุเรียน ภาคตะวันออก 2568
พันธุ์กระดุม 4 เมษายน
พันธุ์ชะนี 10 เมษายน
พันธุ์หมอนทอง ก้านยาว 30 เมษายน 2568
วิธีนี้ เป็นส่วนหนึ่งของการเป็นการควบคุมและป้องกันทุเรียนด้อยคุณภาพ (ทุเรียนอ่อน) ออกสู่ตลาด
ปีนี้ สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) ประเมินว่า จากการติดตามสถานการณ์การออกดอกติดผลของไม้ผลภาคตะวันออก 4 ชนิด ได้แก่ ทุเรียน มังคุด เงาะ ลองกอง ในพื้นที่ 3 จังหวัด ได้แก่ จันทบุรี ระยอง ตราด
คาดการณ์ปี 2568 มีปริมาณผลผลิตรวม 1,453,862 ตัน เพิ่มขึ้นจากปี 2567 ที่มีจำนวน 999,211 ตัน (เพิ่มขึ้น 454,651 ตัน หรือร้อยละ 45.50)
ผลผลิตไม้ผลทั้ง 4 ชนิด ในปีนี้มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ผลจากสภาพอากาศหนาวเย็น เอื้ออำนวยต่อการออกดอกติดผล ในขณะที่ปีที่ผ่านมาได้รับผลกระทบจากปรากฏการณ์เอลนีโญและสภาพอากาศแปรปรวน ปริมาณผลผลิตน้อย จึงทำให้ได้พักต้นสะสมอาหาร สภาพต้นสมบูรณ์พร้อมออกดอกติดผลได้อย่างเต็มที่
ผลผลิตผลไม้เหล่านี้ จะออกสู่ตลาดมากที่สุดในเดือนพฤษภาคม 2568
เฉพาะทุเรียนภาคตะวันออก มีจำนวน 1,045,410 ตัน
เพิ่มขึ้น ร้อยละ 56.89
เนื่องจากปีที่ผ่านมาสภาพอากาศแปรปรวนและในหลายพื้นที่ได้รับผลกระทบจากปริมาณน้ำไม่เพียงพอ ทำให้การสร้างผลไม่สมบูรณ์ จึงได้พักต้นสะสมอาหาร ปีนี้ต้นสมบูรณ์พร้อมออกดอกติดผลมากขึ้น อีกทั้งทุเรียนที่ปลูกในระยะ 4 - 5 ปีที่ผ่านมาเริ่มให้ผลผลิตเป็นปีแรกเพิ่มขึ้นกว่า 72,908 ไร่
และทุเรียนเป็นพืชเศรษฐกิจที่มีผลตอบแทนจูงใจต่อการลงทุน เกษตรกรจึงดูแลรักษาเอาใจใส่อย่างเต็มที่เพื่อให้ได้ผลผลิตเพิ่มขึ้น
ผลผลิตทุเรียนออกมากที่สุดในเดือนพฤษภาคม 2568
2. แนวโน้มตลาดทุเรียนปี 2568 มีความต้องการทุเรียนในประเทศจีนสูงต่อเนื่อง
จีน ถือเป็นผู้นำเข้าทุเรียนไทยรายใหญ่ที่สุด
คาดการณ์ว่าความต้องการทุเรียนปีนี้ จะเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 10-15%
มีทั้งทุเรียนบริโภคสด มากที่สุด
ที่เหลือ ได้แก่ ทุเรียนแปรรูป เช่น ทุเรียนทอด ทุเรียนแช่แข็ง และไอศกรีมทุเรียน
การแข่งขันในตลาดทุเรียน ทุเรียนไทยยังคงยืนหนึ่ง
รสชาติและคุณภาพ โดดเด่น
แต่คู่แข่ง ได้แก่ มาเลเซียและเวียดนาม ก็พยายามขยายส่วนแบ่งตลาดเช่นกัน
3. ทางรุ่งโรจน์ของทุเรียนไทย คือ เกษตรกรต้องเน้นคุณภาพ การสร้างแบรนด์ และเพิ่มความแตกต่างของผลิตภัณฑ์
ปัญหาใหญ่ของการส่งออกทุเรียนปีนี้ คือ จีนออกมาตรฐานความปลอดภัยอาหารด้วยการตรวจหาสารเคมีที่อาจก่อให้เกิดอันตราย สาร BY2 (Basic Yellow 2) กับสาร Cadmium
หรือสารย้อมสีที่ไม่อนุญาตให้ใช้ในอาหาร
สารย้อมสี BY2 กับสาร Cadmium ที่พบ มักตกค้างหรือติดอยู่ที่เปลือกทุเรียนที่ส่งออกจากประเทศไทย
ช่วงต้นปี ทุเรียนจากไทยถูกตรวจพบ ถูกตีกลับ โกลาหลกันพักใหญ่
จีนออกมาตรการบังคับ กำหนดให้ทุเรียนผลสดไทยที่จะส่งออกไปจีนจะต้องผ่านการตรวจวิเคราะห์สาร BY2 และ Cadmium
ต้องไม่มีการปนเปื้อน (Not Detected) จากห้องแล็บได้รับการรับรองจาก สำนักงานศุลกากรจีน (GACC)
โดยต้องแนบผลการตรวจสอบของห้องแล็บไปทุกลอตส่งออก
การบังคับตรวจหาสาร BY2 ทำให้ต้นทุนส่งออกทุเรียนสดของไทยเพิ่มขึ้น
แต่ต้นทุนทางชื่อเสียงและต้นทุนโลจิสติกส์ก็เพิ่มด้วย รวมถึงคุณภาพอาจกระทบหากทุเรียนต้องรอคิวตรวจที่หน้าด่านหลายวัน
4. ล่าสุด กระทรวงเกษตรฯออกมาตรการป้องกันสารปนเปื้อน BY2 หรือ “Big Cleaning” ทุกสวน และทำความสะอาดโรงคัดบรรจุ
อันที่จริง ผู้เกี่ยวข้องควรร่วมมือกันอย่างจริงจัง ทุกขั้นตอน
เกษตรกรสวนทุเรียน ผลิตทุเรียนคุณภาพได้มาตรฐาน ประกอบด้วย 1.1) น้ำ พื้นที่ปลูก การเก็บรักษาและการขนย้ายผลผลิต ต้องไม่มีความเสี่ยงต่อการตกค้างหรือปนเปื้อนทางชีวภาพ เคมี และกายภาพ 1.2) การใช้วัตถุอันตราย สารเคมีทางการเกษตรต้องเป็นไปตามมาตรฐานตามคำแนะนำกรมวิชาการเกษตร 1.3) ผลผลิตปลอดศัตรูพืช ด้วยการจัดการศัตรูพืชแบบผสมผสาน 1.4) เก็บเกี่ยวทุเรียนในระยะที่แก่ได้ที่ของแต่ละพันธุ์ 1.5) สอบทานประสิทธิภาพตามหลักการปฏิบัติระบบทุเรียน และบันทึกข้อมูลตามแบบการควบคุมการผลิตอย่างสม่ำเสมอ
การกำกับดูแลโรงคัดบรรจุ ก็ต้องทำอย่างจริงจัง เด็ดขาดด้วย
5. ตลาดการส่งออกทุเรียนไทยที่สำคัญที่สุด คือ สาธารณรัฐประชาชนจีน
ทุเรียนผลสดของไทยในตลาดจีน ครองส่วนแบ่งอยู่มากกว่า 60%
เราต้องรักษาตลาดนี้ให้ได้
ความต้องการบริโภคทุเรียนในตลาดจีนมีมากขึ้นทุกปี มีการขยายช่องทางการขาย อาทิ ช่องทางออนไลน์และการเพิ่มช่องทางขนส่งทางราง ผ่านรถไฟความเร็วปานกลางจีน-สปป.ลาว ช่วยลดระยะเวลาและเพิ่มความสะดวกในการขนส่งได้มากขึ้น
แม้ทุเรียนเวียดนามจะมีส่วนแบ่งตลาดมากขึ้น หลังได้รับอนุญาตจากทางการจีนให้ส่งออกทุเรียนสดอย่างเป็นทางการ
ทุเรียนมาเลเซียก็ได้รับอนุญาตให้ส่งออกทุเรียนสดไปยังจีนได้แล้ว
การดูแลรักษาคุณภาพของทุเรียนไทย จึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด
ปัจจุบัน ทุเรียนไทยยังมีความได้เปรียบ จากรสชาติที่เป็นที่นิยม และความหลากหลายของพันธุ์
แม้ในจีนพยายามพัฒนาผลผลิตทุเรียน แต่ก็ไม่สามารถเทียบกับทุเรียนจากประเทศไทยเรา
ไทยมีพื้นที่ปลูกทุเรียนทั่วประเทศกว่า 1 ล้านไร่ และกำลังเพิ่มขึ้นต่อเนื่องมีผลผลิตรวมกว่า 1.5 ล้านตัน
นี่คือเครื่องพิมพ์ธนบัตรสำหรับเกษตรไทย หากดูแลรักษาไว้ให้ได้
6. นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อํานวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) โฆษกกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ทุเรียนไทยส่งออกไปจีน 97% ของการส่งออกทั้งหมด
เฉพาะทุเรียน ในปี 2567 มีมูลค่าการส่งออกรวม 4,404.9 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 157,506 ล้านบาท
แบ่งเป็น ทุเรียนสด 3,755.7 ล้านเหรียญสหรัฐ มูลค่า 134,852 ล้านบาท
ทุเรียนแช่เย็นจนแข็ง 649.2 ล้านเหรียญสหรัฐ มูลค่า 22,654 ล้านบาท
แค่ 2 เดือน ในปี’68 (ม.ค. – ก.พ.) ไทยมีมูลค่าส่งออกทุเรียนแล้วรวม 128.5 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 4,374 ล้านบาท
ปริมาณ 24,365 ตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.87
แบ่งเป็น ทุเรียนสด 85.8 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 2,918 ล้านบาท และ ทุเรียนแช่เย็นจนแข็ง 42.7 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 1,456 ล้านบาท
เทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว พบว่า ไทยมีมูลค่าส่งออกทุเรียนรวม 137.9 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 4,822 ล้านบาท ปริมาณ 24,155 ตัน
แบ่งเป็นทุเรียนสด 99.1 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 3,469 ล้านบาท และ ทุเรียนแช่เย็นจนแข็ง 38.8 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 1,353 ล้านบาท
โฆษกกระทรวงพาณิชย์ ชี้ว่า ทุเรียนเป็นสินค้าที่ไทยพึ่งพาตลาดส่งออกถึง 75% ขณะที่บริโภคภายในประเทศเพียง 25% ของปริมาณผลผลิตทั้งหมด ดังนั้น หากมีปัญหาเกี่ยวกับการส่งออก ไม่ว่าจะเป็นความเข้มงวดของจีนในการตรวจสาร Basic Yellow 2 (BY2) และแคดเมียม จะกระทบมาก ซึ่งจะส่งผลกับราคาทุเรียนในประเทศ
กระทรวงฯ ให้ทูตพาณิชย์ในจีน 8 แห่ง รวมทั้งสำนักงานพาณิชย์ ณ กรุงปักกิ่ง หาตลาดรองรับทั้งในเมืองหลักและเมืองรองของจีนเพิ่มมากขึ้น รวมทั้งหาตลาดใหม่ที่มีศักยภาพเพิ่มเติม พร้อมเดินหน้ามาตรการเชิงรุก ตามแผนบริหารจัดการผลไม้ปี 2568 รวม 7 มาตรการ ครอบคลุม 25 แผนงาน ให้ผลไม้ไทยปีนี้ได้ราคาดีตลอดทั้งปี
ล่าสุด นายนภินทร ศรีสรรพางค์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ก็กำลังเดินทางไปลาวและจีน เพื่อเสริมสร้างความร่วมมือด้านการค้า และโลจิสติกส์ โดยจะเข้าพบรัฐมนตรีว่าการกระทรวงโยธาธิการและขนส่ง สปป.ลาว เพื่อหารือด้านโลจิสติกส์สำหรับการขนส่งสินค้าเกษตร และเดินทางไปเยี่ยมชม ท่าบกท่านาแล้ง จุดเปลี่ยนถ่ายสินค้าสำคัญของลาว ซึ่งเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์สำคัญในการส่งออกทุเรียนไทยไปจีน จากนั้น จะนำคณะเดินทางโดย รถไฟจีน-ลาว ที่เวียงจันทน์สู่เมืองบ่อเต็น ซึ่งเป็นจุดผ่านแดนสำคัญไปจีน และจะตรวจเยี่ยม ด่านโม่ฮ้าน ซึ่งเป็นจุดตรวจปล่อยสินค้านำเข้าทุเรียนไทย ก่อนเข้าสู่ตลาดจีน โดยจะมีการเข้าพบผู้แทนภาครัฐของจีน เพื่อหารือเรื่องกระบวนการตรวจปล่อยสินค้าให้รวดเร็วขึ้น
7. อดีตนายกฯ เศรษฐา ทวีสิน เคยขายฝัน
ประกาศตั้งเป้าหมายว่า ภายใน 10 ปี ประเทศไทยจะขายทุเรียนได้เพิ่มขึ้นจากปัจจุบัน เป็น 1 ล้านล้านบาท !!!
นั่นหมายถึงเพิ่มจากปัจจุบันเกือบ 10 เท่าตัว!!!
ถึงวันนี้ รัฐบาลพรรคเพื่อไทยว่าอย่างไร?
คำพูดเก่า หรือจะเป็นแค่ผายลม ?
หรือยังมีความต้องการจะขับเคลื่อนต่อไป ?
ถ้าพูดจริง ทำจริง จะต้องพิจารณาดำเนินการจริงจังทั้งหมด ทุกด้าน
ทั้งด้านการผลิต การตลาด การขยายตลาด การรักษาส่วนแบ่งตลาด การเพิ่มความหลากหลาย ฯลฯ
นายกฯ อุ๊งอิ๊งค์ จะขับเคลื่อนทุเรียนฝ่ามรสุมไปอย่างไร?
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี