ศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจวันที่สองเมื่อวันที่ 25 มีนาคมวานนี้ “รังสิมันต์ โรม” สส.ระบบบัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน อภิปรายเรื่อง“ดีลแลกประเทศ” โดยยกกรณี“ป่วยทิพย์ ชั้น 14”โรงพยาบาลตำรวจ ของอดีตนักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตร มาเป็นประเด็นนำร่อง
แต่ถึงอย่างไรก็ไม่อาจตีขลุมได้ว่า กรณีนี้คือ“ดีลแลกประเทศ”อย่างแท้จริง เพียงแต่เขย่าให้เกิดกระแสฮือฮาได้ เพราะอย่างที่เคยพูดไว้ในคอลัมน์นี้มาแล้วว่า ประเด็นการ“ป่วยทิพย์ชั้น 14”ของอดีตนักโทษเด็ดขาดขายทักษิณ ชินวัตร เป็นเรื่องเก่าที่เกิดขึ้นนับตั้งแต่พรรคเพื่อไทยเข้ามาเป็นรัฐบาลในช่วงเริ่มแรก โดยที่พรรคประชาชนไม่เคยหยิบยกประเด็นเหล่านี้ขึ้นมาตรวจสอบ กลับปล่อยให้ผ่านมาจนถึงทุกวันนี้จึงเพิ่งจะหยิบยกมาเปิดอภิปรายไม้ไว้วางใจ
ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะ “ดีลฮ่องกง”ระหว่าง“ทักษิณ ชินวัตร” กับ “ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” 2 เจ้าของพรรคเพื่อไทยกับพรรคประชาชน หลังการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2566 ที่มีความลึกลับซับซ้อนไม่ต่างจาก“ดีลแลกประเทศ”ที่ฝ่ายค้านตั้งเป็นประเด็นในการอภิปรายครั้งนี้ อันเป็นเหตุให้ก่อนหน้านี้พรรคก้าวไกลที่อวตารมาเป็นพรรคประชาชนในวันนี้ ต้องดำเนินกิจกรรมทางการเมืองแบบ“สู้ไปรอเสียบไป”
จะอะไรก็ตามแต่ ต้องบันทึกไว้เป็นประวัติศาสตร์ โดย“สส.รังสิมันต์ โรม”ได้เปิดประเด็น“กรณีชั้น 14”โรงพยาบาลตำรวจว่า “การอภิปรายในครั้งนี้มีพยานหลักฐานสำคัญที่ยืนยันว่าชั้น 14 มันลวงโลกอย่างไร โดยพยานหลักฐานนั้นไม่ใช่ใครอื่น พยานชื่อว่าแพทองธาร จากประจักษ์พยาน ยังเป็นตัวสำคัญในการทำผิดกฎหมายบ้านเมือง ทำผิดกฎหมายอาญา เรื่องนี้เป็นมหากาพย์หลอกลวง ที่ทำให้นายกฯ เป็นผู้ที่ขาดคุณสมบัติเหมาะสม ในการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในท้ายที่สุด”
นายรังสิมันต์ โรม อภิปรายว่า “แพทองธาร เป็นนายกฯ ที่ไม่ซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ ทั้งนี้ นายกฯ คือ ประจักษ์พยานและตัวการสำคัญต่อการทำผิดกฎหมายในเรื่องชั้น 14 เพราะมีชื่อ 1 ใน 10 ที่สามารถเข้าเยี่ยมที่โรงพยาบาลตำรวจได้ อย่างไรก็ดีช่วงที่นายทักษิณลี้ภัยในต่างประเทศ 15 ปี ได้กลับประเทศไทยในช่วงรัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกฯ ซึ่งการกลับประเทศดังกล่าว เชื่อว่ามีดีลลังกาวีเกิดขึ้น และภาพที่เดินทางมาถึงประเทศไทยคือคนที่สุขภาพแข็งแรง แต่ผ่านไป 2 วันพบว่าทางเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ แถลงถึงอาการป่วย 4 โรคร้ายแรง และมีอาการวิกฤตที่ต้องส่งไปยังโรงพยาบาลตำรวจ”
และอีก 9 ย่อหน้าที่ “รังสิมันต์ โรม”อภิปรายไว้เป็นหลักฐานให้คนในสังคมไทยอีกจำนวนมากได้รับรู้ เป็นข้อมูลอีกด้านหนึ่งของ สส.ฝ่ายค้านในฐานะฝ่ายนิติบัญญัติ ซึ่งมีหน้าที่ในการ“ตรวจสอบ-ถ่วงดุล”รัฐบาลที่เป็นฝ่ายบริหาร
“ย้อนกลับไปเมื่อปี 2566 ก่อนที่นายใหญ่เดินทางมาที่ประเทศไทย นางสาวแพทองธารให้สัมภาษณ์ไว้ว่า บิดาของท่านมีสุขภาพที่ดี และตรวจสุขภาพต่อเนื่อง เป็นประจำทุกปี และวันที่นายใหญ่เดินทางกลับประเทศไทย ก็สามารถทักทายประชาชน และบุคคลใกล้ชิดได้ แล้วอะไรจึงทำให้นายใหญ่ต้องขึ้นเขียงไปรักษาอยู่ที่โรงพยาบาลตำรวจ เป็นเวลา 180 วัน ต้องมีปัจจัยอะไรบางอย่างที่จู่ๆ คนสุขภาพดี ถึงได้ล้มป่วยกะทันหันอย่างนี้”
“นายใหญ่ อยู่ต่างประเทศนานกว่า 15 ปี ทำไมจึงตัดสินใจกลับ การกลับมาง่ายดายอย่างแปลกประหลาด ในยุคที่น้องสาวเป็นอดีตนายกฯก็ยังไม่เดินทางกลับ เป็นเพราะดีลที่นายกฯทำมาใช่หรือไม่ และการกลับประเทศไทยในวันที่ 22 สิงหาคม 2566 เป็นเพราะดีลลังกาวี ใช่หรือไม่ จึงทำให้นายใหญ่มั่นใจว่า กลับมาไทยได้ ปลอดภัย”
“มีไอ้โม่ง 2 ตัวใจดี ลดแลกแจกแถมให้บิดานายกฯ ออกจากเรือนจำเพื่อรักษาตัวที่โรงพยาบาลตำรวจ หากวันนั้นไอ้โม่งขัดขวาง ไม่มีทางที่นายใหญ่จะได้ไปโรงพยาบาลตำรวจ จนกว่านายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกฯ มีอำนาจเต็ม ซึ่งเรื่องนี้ นางสาวแพทองธารรู้เห็นทั้งหมด รวมถึงไม่มีการดำเนินคดีกับไอ้โม่งตามที่สัญญากับประชาชน เพราะพ่อได้กลับบ้านแล้ว นี่คือดีลแลกประเทศที่นายกฯ สมคบเพื่อช่วยเหลือพ่อตัวเองไม่ให้นอนคุกแม้แต่วันเดียว”
“นอกจากนั้นยังพบการร้องขออภัยโทษเฉพาะราย หลังจากที่นายทักษิณพักในโรงพยาบาลตำรวจแล้ว 7 วัน ซึ่งนางสาวแพทองธารอกตัญญู ไม่ดำเนินการ ทำให้นายทักษิณต้องดำเนินการด้วยตนเอง ทั้งที่มีอาการป่วยหนัก ปางตาย ต้องเตรียมเอกสารเพื่อร้องฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษด้วยตนเอง นายกฯ รู้ว่าพ่อไม่ป่วย จึงให้เขียนขออภัยโทษเอง ซึ่งกรณีดังกล่าวมีรายงานของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนฯ ระบุว่า มีอาการป่วยวิกฤตสลับปกติ จึงเป็นการย้อนแย้ง และนายกฯ ทำเรื่องตบตาประชาชน เรื่องอาการป่วย เพื่อได้อภิสิทธิ์ของการพักรักษาตัวระดับวีวีไอพีที่โรงพยาบาลตำรวจ”
“นายกฯ ปกปิดอาการป่วยเพื่อต้องการไม่ให้คนติดคุกแม้แต่วันเดียว และมีการสมคบคิด ซึ่งเป็นนายกฯ จอมหลอกลวง ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ รวมถึงแต่งตั้งบุคคลที่ช่วยเหลือพ่อ ให้ได้รับการเลื่อนตำแหน่ง อวยยศหน้าที่การงาน รวมถึงได้รับการปูนบำเหน็จเพิ่มเติมในรอยต่อรัฐบาลนายเศรษฐา และนางสาวแพทองธาร คือ โดยเฉพาะแพทย์ใหญ่โรงพยาบาลตำรวจ (พล.ต.ท.โสภณรัชต์ สิงหจารุ) ที่ได้นั่งเป็นกรรมการอิสระของบอร์ดไออาร์พีซี (IRPC)ได้เงินนับล้านบาทต่อปี และเป็นตัวเต็งรองผบ.ตร. ก่อนเกษียณ นอกจากนั้น ยังให้หมอที่ลงนามในใบความเห็นแพทย์เพื่อรักษาตัวต่อ ซึ่งชื่อย่อ พล.ต.ท. ส.ม.เป็นพี่ชายของ อดีต สส.พรรคประชาธิปัตย์ ที่ย้ายมาอยู่กับพรรคเพื่อไทย มีส่วนได้เสียหรือไม่ ซึ่งคิดเป็นอื่นไม่ได้ว่าเป็นการตอบแทนทางการเมือง เอาความยุติธรรมและผลประโยชน์แลกเพื่อคนในครอบครัว”
“แม้เรื่องที่เกิดขึ้นจะเกิดก่อนที่เป็นนายกฯ แต่เมื่อเป็นนายกฯแล้ว กลับไม่ดำเนินคดีใดๆ ทั้งนี้ ยังพบข้อมูลว่า ระหว่างรักษาตัว มีบุคคลนอกรายชื่อ คือ พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ หักพาล และ พล.ต.อ.เสรีพิสุทธิ์ เตมียเวส เข้าเยี่ยม ซึ่งมีรายละเอียดว่ามีการกินอยู่ระดับหรู นอกจากนั้นแล้ว ยังมีประเด็นด้วยว่า นายทักษิณแจ้งความดำเนินคดีข้อหาหมิ่นประมาททบุคคลที่เผยแพร่ข้อมูลอันเป็นเท็จ ซึ่งหนึ่งวันให้หลังจากที่แพทย์โรงพยาบาลราชทัณฑ์แถลงว่ามีอาการป่วยหนัก แสดงให้เห็นว่า นายทักษิณที่แพทย์บอกว่ามีอาการป่วยหนัก สามารถมีโทรศัพท์มือถือไว้ใช้ได้ ซึ่งไม่ถูกจำกัดสิทธิใดๆ ทั้งนี้ คนที่มีมือถือไว้ใช้ได้ ส่วนใหญ่จะเป็นเจ้าพ่อค้ายาเพื่อสั่งการ ซึ่งในกรณีนี้นายใหญ่ถือเป็นเจ้าพ่อเครือข่ายทางการเมืองที่ชั้น 14”
“นายกฯ อาจเอาโทรศัพท์ไปให้ใช้ระหว่างควบคุมตัว คือการละเมิดกฎหมายราชทัณฑ์ และยืนยันว่าไม่มีการป่วยวิกฤต แต่คือ ป่วยทิพย์ และหลังจากที่ออกจากโรงพยาบาลแล้ว ไม่พบว่ามีการเข้ารับการรักษาตัวต่อ ถือเป็นการโกหก เพราะทราบดีว่าบิดาไม่ได้ป่วย ส่วนการพักโทษนั่นไม่ตรงกับความจริง กรณีชั้น14 นายกฯ ปฏิเสธไม่ได้ถึงการสมคบคิดเพื่อทำลายระบบยุติธรรม อย่างไรก็ดี เรื่องดังกล่าวอยู่ระหว่างการตรวจสอบของ ป.ป.ช. ซึ่งถูกคาดหวังต่อการตรวจสอบต่อความยุติธรรม อย่าให้การเข้าเรียนหลักสูตร บยส.23 (หลักสูตรผู้บริหารกระบวนการยุติธรรมระดับสูง รุ่นที่ 23) ที่แพทย์ใหญ่กับประธาน ป.ป.ช.ซึ่งเป็นเพื่อนร่วมรุ่นมาเป็นอุปสรรคตรวจสอบ”
“การกระทำของนายกฯ และคณะ ไม่ต่างจากพานักโทษแหกคุก และสิ่งที่นายกฯและพวกดำเนินการ คือ การสมรู้ร่วมคิดของหน่วยงานโรงพยาบาลตำรวจและราชทัณฑ์ สิ่งที่นายกฯ ทำครบองค์ประกอบกฎหมายอาญามาตรา 209 และมาตรา 210 ฐานอั้งยี่ และซ่องโจร ซึ่งบทบัญญัติกำหนดโทษร้ายแรง เชื่อหากมีการทะลายซ่องโจรจันทร์ส่องหล้า สามารถเอาผิดคนจำนวนมากได้”
“อย่างไรก็ดี เหตุที่นายทักษิณไม่ติดคุกแม้แต่วันเดียว เป็นเพราะการกระทำที่ผิดกฎหมาย ที่นายกฯและลูกสมุนทำดีลแลกประเทศ จนทำลายหลักนิติรัฐและกระบวนการยุติธรรม ถือว่าเป็นการละเมิดกฎหมาย ขาดคุณสมบัติการเป็นนายกฯ”
ทั้งหมดที่ สส.รังสิมันต์ โรม อภิปราย คือมหากาพย์“นักโทษเทวดา” ที่ถูกบันทึกไว้อีกหน้าหนึ่งของประวัติศาสตร์การเมืองการปกครองไทยผ่านสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แม้ภาพ“ดีลแลกประเทศ”ยังพร่ามัวไม่ชัดเจนก็ตาม
แต่อย่างน้อยคนที่เปิดโปงเรื่องนี้คือฝ่ายนิติบัญญัติ ซึ่งเป็น สส.ฝ่ายค้านที่ลุกขึ้นมาทำหน้าที่ตรวจสอบถ่วงดุลอำนาจฝ่ายบริหาร !
รุ่งเรือง ปรีชากุล
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี