ในปัจจุบันนี้ท่ามกลางความขัดแย้ง ความไม่ไว้เนื้อเชื่อใจกันระหว่างประเทศต่างๆ ส่งผลให้ประชาชนพลเมืองโลกต่างสับสนอลหม่าน และหวั่นวิตกในเรื่องการสงครามที่อาจจะมีการใช้อาวุธนิวเคลียร์ และความถดถอยของคุณภาพชีวิต แต่โลกก็ยังไม่สิ้นความหวังเสียทีเดียว เพราะก็ยังมีผู้นำโลกจัดหาช่องทางที่จะพูดจากัน และร่วมกันลดหย่อนความตึงเครียด
หนึ่งในประเทศนั้นก็คือ จีนคอมมิวนิสต์บนแผ่นดินใหญ่ที่อยากจะกลับขึ้นมานำพาโลกและหันเหโลกไปในทิศทางที่จะเป็นประโยชน์ต่อจีนและประชาคมโลกด้วย ซึ่งมีนัยว่าความเป็นไปในโลกที่นำพาโดยฝ่ายตะวันตก (The West)มาเป็นเวลาร่วมประมาณ 500 ปี โดยเฉพาะในช่วงประมาณ100 ปีที่ผ่านมานั้น มักเป็นเรื่องที่ไม่น่าพิสมัย และไม่ควรที่จะคงอยู่และแผ่ขยายอิทธิพลอีกต่อไป จำเป็นที่ประชาคมโลกจะต้องมีความคิดและทางเลือกใหม่ๆ และผู้นำพาประชาคมโลกให้ก้าวไปข้างหน้าด้วยหลักความมั่งมีมั่งคั่งร่วมกัน (Common Prosperity) และในการนี้จีนก็เห็นว่าตัวเองนั้นมีความพร้อมที่จะเล่นบทบาทนำพา
เมื่อไม่นานมานี้ จีนได้ประสบความสำเร็จทางการทูตระดับโลกอย่างใหญ่หลวง เมื่อสามารถทำให้อิหร่านและซาอุดีอาระเบีย ที่แต่เดิมเป็นคู่อริแบบไม่เผาผีกัน ต่างหันหน้ากลับสู่โต๊ะเจรจา และเริ่มฟื้นฟูความสัมพันธ์ทางการทูตกันได้ และล่าสุดไม่นานวันมานี้ จีนก็ได้ร่วมหารือกับรัสเซียและอิหร่าน เพื่อปูทางให้อิหร่านได้กลับมาเป็นส่วนหนึ่งของสังคมโลก ซึ่งก่อนหน้านี้ประมาณ 10 ปีเศษๆ จีนก็ได้ริเริ่มและขับเคลื่อนการร่วมมือต่างๆ เช่น Shanghai Cooperation Organization (SCO) เพื่อเสริมสร้างความมั่นคงและการอยู่ร่วมกันของประเทศในผืนแผ่นดินยูโร-เอเชีย การก่อตั้งธนาคารเพื่อการลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานแห่งเอเชีย (Asia Infrastructure Investment Bank - AIIB) โครงการเส้นทางสายไหมทางบกและเส้นทางสายไหมทางทะเลแห่งศตวรรษที่ 21 (Belt And Road Initiative - BRI) ซึ่งจีนได้จัดงบประมาณเพื่อการให้ความร่วมมือช่วยเหลือประเทศต่างๆ ทั่วโลก ในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ เช่นทางถนน ทางรถไฟ กิจการท่าเรือ และกิจการท่าอากาศยาน เป็นต้น
จีนยังได้ร่วมกับรัสเซีย บราซิล อินเดีย และแอฟริกาใต้ ในการจัดตั้งองค์การร่วมมือเพื่อการพัฒนาและการปลดแอกจากการครอบงำของฝ่ายตะวันตกรวมทั้งญี่ปุ่น ในกรอบของกลุ่ม 7 ประเทศอุตสาหกรรมที่พัฒนาแล้ว - Group of Seven (G7) ซึ่งประกอบด้วยสหรัฐอเมริกา แคนาดา อังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมนี อิตาลี และญี่ปุ่น นอกจากนั้น จีนก็ยังถือเป็นประเทศที่มีบทบาทมากที่สุดในกองกำลังรักษาสันติภาพภายใต้ธงสีฟ้าขององค์การสหประชาชาติ ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นการแสดงให้เห็นว่าจีนเอาจริงเอาจังกับการมีบทบาทในระดับโลก และมิได้เพียงแต่แค่พูดอย่างเดียว แต่ยังปฏิบัติด้วย ซึ่งทั้งหมดนี้ก็มีนัยว่า จีนกำลังทำตัวเป็นผู้นำของประเทศในกลุ่มโลกที่สามที่เป็นกลุ่มประเทศที่กำลังพัฒนา (The Third World หรือ The Global South) ในการใฝ่หาความสมดุลและความเสมอภาคกับฝ่ายตะวันตกดังกล่าว
จัดได้ว่าจีนมีหน้าตาเป็นผู้สร้างสรรค์ในเวทีโลกก็จริง แต่ทว่าที่บ้านของจีนนั้นก็ยังอยู่ภายใต้ระบอบการเมืองการปกครองที่เป็นเผด็จการ ประชาชนพลเมืองไม่มีสิทธิเสรีภาพทางการเมือง รวมทั้งการนับถือศาสนา อีกทั้งจีนก็ยังคุกคามสาธารณรัฐจีน หรือจีนเกาะไต้หวัน ที่เป็นสังคมประชาธิปไตยอย่างไม่ลดละ คู่ขนานไปกับการคุกคามบรรดาประเทศต่างๆ ที่มีข้อพิพาทกับจีนในเรื่องเขตอาณาในทะเลจีนตอนใต้ ด้วยการถมทะเล เกาะเล็กเกาะน้อย เพื่อแปลงสภาพให้เป็นฐานทัพ และการออกลาดตระเวนทั้งทางอากาศและทางน้ำในเชิงก้าวร้าวแล้วเอาตัวเองเป็นที่ตั้ง อีกทั้งก็ปฏิเสธโดยสิ้นเชิงกับข้อตัดสินของศาลอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศ ว่า จีนไม่มีหลักฐานใดๆ ที่ว่าได้ครอบครองในทะเลจีนตอนใต้มาก่อนอย่างสิ้นเชิง ทั้งที่จีนเป็นสมาชิกถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงสหประชาชาติ ที่มีหน้าที่รับผิดชอบในเรื่องสันติภาพและความมั่นคงของโลก
นอกจากนั้น จีนก็ได้เข้าไปครอบครอง และครอบงำเขตแดนฮ่องกง ให้สิ้นสุดความเป็นสังคมประชาธิปไตย ซึ่งไม่เป็นไปตามเงื่อนไขตกลงกันไว้ระหว่างจีนกับอังกฤษ (ก่อนมีการคืนเขตฮ่องกงจากอังกฤษกลับสู่จีน) และในขณะเดียวกัน จีนก็ได้ดำเนินการกดขี่ ครอบงำ ลิดรอนสิทธิเสรีภาพ โดยเฉพาะในเรื่องการนับถือศาสนา และประเพณีปฏิบัติของชนกลุ่มน้อยอุยกูร์ในมณฑลซินเจียง ทั้งที่ประชาคมโลกก็ยังไม่ลืมเลือนที่จีนได้เข้าไปยึดครองประเทศทิเบต และเพียรพยายามมาโดยตลอดที่จะทำลายความเป็นอัตลักษณ์ของชาวทิเบต ซึ่งสวนทางกับหลักปฏิบัติสากลและหลักมนุษยธรรมใดๆ ทั้งสิ้น ความดังกล่าวจึงเป็นอีกหน้าหนึ่งของจีน
สรุปได้ว่า จีนในวันนี้เล่นบทบาทสองหน้า โดยหน้าหนึ่งคือ ผู้สร้างสรรค์โอบอ้อมอารีในเวทีโลก และอีกหน้าหนึ่งคือ การคุกคามบางประเทศรอบๆ บ้านดังกล่าวรวมทั้งอินเดีย และการกดขี่ลิดรอนสิทธิเสรีภาพของประชาชนพลเมืองประมาณ 1,400 ล้านคน
จีนมีความจำเป็นที่จะมีหน้าเพียงหน้าเดียว เพื่อนำความยิ่งใหญ่กลับมา นั่นคือ การทำตนให้เป็นผู้ที่มีความสม่ำเสมอ ทั้งในเรื่องการปฏิบัติทั้งภายในและภายนอกประเทศ ซึ่งจุดเริ่มต้นก็คือ การนำเอาอารยธรรมแต่อดีตมาปรับปรุง เพื่ออำนวยให้จีนหลุดพ้นออกจากลัทธิอำนาจนิยม ไปสู่ลัทธิของความดีงามเป็นที่ตั้ง
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี