ขณะที่การอภิปรายไม่ไว้วางใจผ่านพ้นโดย“มาดามแพทองโพย”ได้คะแนนไว้วางใจแบบไม่มีเสียงแตกแถวจากพรรคร่วมรัฐบาลด้วยกันแต่ในวันเดียวกันนั้น คือเมื่อวันที่ 26 มีนาคมที่ผ่านมา “2 มือวาง”ของอดีตนักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตรก็มีรูปการณ์ว่าอนาคตทางการเมืองจะจบไม่สวย
นั่นก็คือ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กับ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ที่เป็น“เด็กในคาถา”ของ“นายใหญ่”และ“นายหญิง”แห่งบ้านจันทร์ส่องหล้า ได้เข้าไปแทรกแซงและล้วงลูกคดี“ฮั้วเลือกตั้ง สว.”จากกกต.มาไว้ในมือกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) เพื่อต้องการจะ“เด็ดหัว”สว.สายสีน้ำเงินซึ่งมีโยงใยกับพรรคภูมิใจไทย และนักการเมืองบ้านใหญ่แห่งจังหวัดบุรีรัมย์
โดยเมื่อวันที่ 26 มีนาคม ศาลรัฐธรรมนูญได้มีมติรับคำร้อง ตามที่นายมงคล สุระสัจจะ ประธานวุฒิสภาส่งคำร้องของ พล.ต.ต.ฉัตรวรรษ แสงเพชร สมาชิกวุฒิสภา และสมาชิกวุฒิสภารวม 92 คนขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยว่า ความเป็นรัฐมนตรีของนายภูมิธรรม เวชยชัย และ พ.ต.อ.ทวีสอดส่อง สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 160 (4) และ (5)หรือไม่
ทั้งนี้ พล.ต.ฉัตรวรรษ แสงเพชร สมาชิกวุฒิสภา และสมาชิกวุฒิสภา 92 คนซึ่งเป็นผู้ร้องได้กล่าวอ้างไว้ในคำร้องว่า นายภูมิธรรม เวชยชัย (ผู้ถูกร้องที่ 1)ในฐานะประธานคณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.) หรือประธานบอร์ด DSI และ พ.ต.อ.ทวี สอดส่องรองประธานบอร์ด DSI (ผู้ถูกร้องที่ 2) มีการแทรกแซงหรือครอบงำหน้าที่ และอำนาจของ กกต.โดยใช้กรมสอบสวนคดีพิเศษเป็นเครื่องมือแทรกแซงกระบวนการตรวจสอบการเลือกสมาชิกวุฒิสภาพ.ศ.2567
ผู้ร้องระบุว่า การกระทำของ นายภูมิธรรม เวชยชัย และ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง เป็นการกลั่นแกล้ง, กดดัน,ข่มขู่ และครอบงำสมาชิกวุฒิสภาซึ่งเป็นฝ่ายนิติบัญญัติอันขัดต่อหลักการแบ่งแยกอำนาจและฝ่าฝืนหลักนิติธรรมจึงถือได้ว่าผู้ถูกร้องทั้งสองไม่มีความชื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ และมีพฤติกรรมเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง
เมื่อศาลรัฐธรรมนูญได้พิจารณาข้อเท็จจริงตามคำร้องและเอกสารประกอบคำร้องแล้ว เห็นว่ากรณีเป็นไปตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคสาม ประกอบมาตรา 82 วรรคหนึ่งและพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วย วิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 มาตรา 7 (4)จึงมีมติเป็นเอกฉันท์มีคำสั่งรับคำร้องไว้พิจารณาและให้ผู้ถูกร้องทั้งสองยื่นคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาวหาต่อศาลรัฐธรรมนูญภายใน 15 วันนับแต่วันที่ได้รับสำเนาคำร้อง
แต่สำหรับคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้ นายภูมิธรรม เวชยชัย และ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง หยุดปฏิบัติหน้าที่รัฐมนตรีจนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัย นั้นศาลรัฐธรรมนูญมีมติเป็นเอกฉันท์ยังไม่สั่งให้ผู้ถูกร้องทั้งสองหยุดปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งก็ถือว่าในชั้นนี้นับว่าเป็นโชคของ“นายใหญ่” ที่ทั้งนายภูมิธรรม และ พ.ต.อ.ทวียังช่วยทำงานเป็นกำลังสำคัญให้กับ“มาดามแพทองโพย”ต่อไปได้โดยเฉพาะนายภูมิธรรมที่เป็นตัวหลักทั้งอุ้มและแบก“คุณหนู”ผู้เป็นลูกสาวของนายใหญ่
สำหรับคดี“ฮั้วเลือกตั้ง สว.” ที่อยู่ในมือ DSI ในเวลานี้ อันเป็นผลมาจากมติของที่ประชุม บอร์ด DSI เมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2568 โดยมีนายภูมิธรรม เวชยชัย นั่งหัวโต๊ะ และ พ.ต.อ.ทวี สอดส่องนั่งเป็นพระอันดับลำดับสองนั้น คือ“ความผิดฐานฟอกเงิน” โดยมีกรรมการบอร์ด DSI จำนวน 11คนจากทั้งหมด 22 คน ลงมติเห็นชอบให้รับไว้เป็นคดีพิเศษ ส่วน“ความผิดฐานอั้งยี่”ซึ่งถือว่า“เล่นกันถึงตาย”ถูกตีตกจากการประชุมครั้งนี้
อย่างไรก็ตาม เมื่อย้อนไปดูปูมหลังของกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ DSI ซึ่งเป็นหน่วยงานสังกัดกระทรวงยุติธรรม พบว่ากรมนี้ถูกจัดตั้งขึ้นมาในปี 2545 สมัยรัฐบาลพรรคไทยรักไทยที่มี“ทักษิณ ชินวัตร”เป็นนายกรัฐมนตรี และคนทั่วไปก็รู้ว่า DSI นั้นมักจะถูกนักการเมืองที่เข้ามามีอำนาจเป็นรัฐบาลใช้เป็นเครื่องมือเพื่อฟาดฟันและกำจัดคู่แข่งที่เป็นปรปักษ์ทางการเมืองของตน
ทั้งนี้ มีตัวอย่างให้เห็นกรณี“ธาริต เพ็งดิษฐ์” อดีตอธิบดี DSI ซึ่งเป็นหนึ่งในมือกฎหมายที่ร่วมก่อตั้งพรรคไทยรักไทย และเป็นรองอธิบดี DSIในยุคแรกเริ่มที่มีการจัดตั้งกรมนี้ขึ้นมาในปี 2545 กระทั่งก้าวขึ้นเป็นอธิบดี DSI ต่อจาก พ.ต.อ.ทวี สอดส่องในปี 2552 สมัยรัฐบาล“อภิสิทธ์ เวชชาชีวะ” และก็นายธาริตผู้นี้อีกเช่นกัน ที่“แว้งกัด” นายอภิสิทธิ์ กับ“สุเทพเทือกสุบรรณ” ในสมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ด้วยการรับคดี“สลายม็อบเสื้อแดง”มาไว้ในมือ DSI
สุดท้ายกลับกลายเป็นว่า “ธาริต เพ็งดิษฐ์”ต้องเข้าไปนอนอยู่ในคุก โดยในปี 2561ศาลฎีกามีคำพิพากษาสั่งจำคุก 2 ปี ไม่รอลงอาญา ฐานเจตนากลั่นแกล้งให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะอดีตนายกรัฐมนตรี และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรี ให้รับโทษทางอาญาเนื่องจากใช้อำนาจในฐานะอธิบดี DSI สั่งฟ้องโดยไม่ผ่าน ป.ป.ช. ในคดีสั่งสลายการชุมนุม นปช. เมื่อปี 2553
ดูกันต่อไปว่า “2 มือวาง”ของอดีตนักโทษเด็ดชายทักษิณ ชินวัตร จะมีชะตากรรมอย่างไรและจากที่เห็นมาใครที่ยอมทอดตัวรับใช้ทักษิณ และบุคคลในครอบครัว“ชินวัตร”มักจะมีจุดจบที่ไม่สวยงามแทบทั้งสิ้น
เท่าที่นึกได้ก็มี “สุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล” อดีตรัฐมนตรีฯต่างประเทศ ผู้สร้างวีรกรรมคืนพาสปอร์ตให้“นายใหญ่ทักษิณ” จนถูกศาลฎีกาตัดสินจำคุก 2 ปี ไม่รอลงอาญา, “วัฒนา เมืองสุข”อดีตรัฐมนตรีฯกระทรวงพัฒนาสังคมฯ ติดคุกคดีทุจริตโครงการบ้านเอื้ออาทร 50 ปี เวลานี้ยังอยู่ในคุกและ“บุญทรง เตริยาภิรมย์” อดีตรัฐมนตรีฯพาณิชย์ยุครัฐบาลยิ่งลักษณ ชินวัตรติดคุกคดีทุจริตโครงการับจำนำข้าว 48 ปี เพิ่งได้รับการพักโทษเมื่อปลายปีที่แล้ว เป็นต้น
อีกคนหนึ่งเวลานี้ยังกลับมารับใช้“มาดามแพทองโพย”และเป็นหนึ่งในคณะที่ปรึกษาบ้านพิษณุโลกของ“คุณหนูอุ๊งอิ๊งค์” คือ “หมอเลี๊ยบ” หรือ น.พ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลีเคยเป็นรัฐมนตรีฯกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศฯ สมัยรัฐบาลพรรคไทยรักไทย ซึ่งติดคุกในปี 2559 คดีทุจริต“แก้ไขสัญญาสัมปทานโครงการดาวเทียมฯ” 1 ปี ไม่รอลงอาญา
บรรทัดนี้ก็ต้องบอกว่า “กัมมุนา วัตตติ โลโก” สัตว์โลกทั้งหลายย่อมเป็นไปตามกรรม !
รุ่งเรือง ปรีชากุล
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี