เป็นตามความคาดหมายที่น.ส.แพทองธาร ชินวัตรผู้ถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจ ในข้อกล่าวหาไร้วุฒิภาวะ ไร้สติปัญญา ขาดเจตจำนงในการบริหารประเทศ ปล่อยคนในครอบครัวชักใยการบริหารประเทศเหมือนเธอเป็นหุ่นเชิด
หลังการอภิปรายที่นายกรัฐมนตรีและบิดาถูกจับขึงพืดในสภา การลงมติปรากฏว่า น.ส.แพทองธารได้รับความไว้วางใจ 319 เสียง และไม่ไว้วางใจเพียง162 คน แสดงว่าในฝ่ายค้านหายไปสิบคน ส่วนมีผู้งดออกเสียง 7 คนนั้น สามท่านเป็นประธาน และรองประธานสภา ส่วนสี่ผู้อาวุโสจากพรรคประชาธิปัตย์ พอเข้าใจได้ว่าพวกท่านต้องฝืนใจอยู่กับความเสื่อมสลายของการเมืองไทยต่อไป พวกท่านถึงได้นั่งฟังเสียงปรบมือแสดงความยินดีต่อ น.ส.แพทองธารด้วยอาการกระอักกระอ่วน
ดูภาพรวมของการอภิปรายตลอดเวลาสองวันเชื่อว่าผู้ติดตามการอภิปรายมีวิจารณญาณ มีสติปัญญาสามารถเข้าใจได้ว่า ทั้งพรรค ปชน.ซึ่งเป็นฝ่ายค้านและพรรคเพื่อไทยในฐานะรัฐบาล สมคบกันโยนความผิด ความบกพร่อง ความเสียหายตลอดถึงความเลวร้ายทั้งปวงในปัจจุบัน ไปให้พวกที่เขาเรียกว่ารัฐบาลเผด็จการ สาม ป.อันประกอบด้วย ป.ป้อม พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ ป.ป๊อก พลเอกอนุพงษ์เผ่าจินดา และ ป. ประยุทธ์ จันทร์โอชา สาม ป.คือศัตรูตัวฉกาจ คือ ก้างขวางคอชิ้นใหญ่ที่ขัดขวางขบวนการแดงทั้งแผ่นดิน ซึ่งบริวารของผู้นำจิตวิญญาณเพื่อไทย ตั้งแต่สมัยรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะปี 2551-2554 เป็นความแค้นฝังใจที่ทหารขัดขวางไม่ให้คนเสื้อแดงทำลายประเทศไทยให้วินาศลงได้ ตามคำที่ว่า “ถ้าผมอยู่ไม่เป็นสุข ประเทศไทยอย่าได้หมายว่าจะอยู่กันอย่างสุขสบาย”
และแค้นฝังหุ่นของนายใหญ่ถูกตอกย้ำซ้ำเติมด้วยการยึดอำนาจจากรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร สาม ป.จึงเป็นศัตรูสำคัญที่พรรคเพื่อไทย ต้องทำลายให้ได้ไม่ว่า จะอยู่ฐานะไหน
จึงไม่แปลกใจที่เพื่อไทยยอมให้ สส.รังสิมันต์ โรม ขึงพืดฉีกหน้านายกรัฐมนตรีกับบิดาในความไม่ชอบมาพากลบนชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ สส.รังสิมันต์ฉีกหน้ากาก น.ส.แพทองธาร และบิดาถึงความไม่ชอบมาพากลในการย้ายนักโทษเด็ดจากเรือนจำไปพำนักอยู่ในห้องพักระดับพรีเมียมโรงพยาบาลตำรวจได้นานถึง 180 วัน
แต่ก็พูดได้เช่นกันว่าสิ่งที่ สส.รังสิมันต์ อภิปราย ไม่มีข้อมูลอะไรใหม่ที่นอกเหนือไปจากสื่อมวลชนรายงานและประชาชนวิพากษ์วิจารณ์ตลอดมา แต่สิ่งที่ สส.รังสิมันต์มีใหม่ คือ วาทกรรม“ดีลปีศาจ” คงนำเนื้อหาจากหนังสือปีศาจของ เสนีย์ เสาวพงศ์ ที่สาย สีมา ปฏิวัติต่อสู้กับระบบศักดินา มาดัดแปลงเป็น ดีลปีศาจ เพื่อชงหวานให้เพื่อไทย โดยการแสร้งโจมตี น.ส.แพทองธารว่าไปดีลกับปีศาจ ทำให้บิดากลับบ้านโดยไม่ต้องเข้าคุกแม้แต่วันเดียว
สส.ก่อแก้ว พิกุลทอง เมื่อพบว่า สส.รังสิมันต์ ชงหวานคำว่า “ดีลกับปีศาจ” ลุกขึ้นประท้วงซ้ำแล้วซ้ำเล่าขอให้ผู้อภิปรายพูดออกมาว่าปีศาจที่ว่าเป็นใคร ดีที่พอ สส.รังสิมันต์อภิปรายว่า นายทักษิณอ้างพระเมตตากรุณา..ประธานในที่ประชุม ห้ามผู้อภิปราย ไม่ให้กล่าวถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ หากประธานเบรกไม่ทันไม่อาจจินตนาการได้ว่าจะเลยเถิดไปถึงไหน
กล่าวโดยสรุปคือ สส.รังสิมันต์ โจมตีว่าเพราะ น.ส.แพทองธารไปทำกับ ดีลปีศาจ ความไม่ยุติธรรม ความชั่วร้ายในชั้น 14 มันถึงเกิดได้ โดยไม่ต้องเกรงกลัวใคร สส.รังสิมันต์ โจมตีว่า การดีลปีศาจ นำมาซึ่งรัฐบาลไร้ประสิทธิภาพ ความล้มเหลวในทุกด้านตั้งแต่ปฏิรูประบบราชการ ปรับโครงสร้างกองทัพจนถึงการยกเลิกรัฐธรรมนูญ คสช. ปี 2560 แล้วร่างใหม่โดยฝ่ายประชาธิปไตยที่ได้รับฉันทานุมัติจากประชาชน
เมื่อฝ่ายค้านชงหวานให้แล้ว รัฐบาลเพื่อไทยก็ส่งรัฐมนตรียุติธรรม ซึ่งเป็นต้นตอของข้อครหาว่า ทำให้นักโทษเด็ดขาด กลายเป็นนักโทษเทวดา โดยใช้มารยาว่าป่วยไข้ปางตายเมื่อฝ่ายค้านและรัฐมนตรียุติธรรมชงหวานให้ นายกฯแพทองธารก็ตอบโต้ฝ่ายค้านว่าน.ส.แพทองธารผู้เป็นลูกสาวสุดที่รักของ ดร.ทักษิณ ชินวัตร เข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีตอนที่นักโทษเด็ดขาดออกจากโรงพยาบาลไปใส่ปลอกคอนั่งอยู่ริมสระว่ายน้ำหน้าบ้านแล้ว
แพทองธารกล่าวว่า ในฐานะลูกสาวก็เป็นห่วงบิดาที่อยู่โรงพยาบาลเป็นธรรมดา และกล่าวว่าคนที่จากบ้านไปนานกลับมาอยู่ในที่แปลกไป ก็มีความเครียดบ้าง ส่วนเรื่องจดหมาย ขออภัยโทษ ให้ท่านตัดสินทำเอง กล่าวโดยสรุปคือฝ่ายค้านชงหวานให้รัฐบาลเปิดโปงว่า ความเสียหายความไม่ยุติธรรมทั้งหลาย ที่หากเกิดขึ้นหลังจาก ทักษิณ กลับบ้าน ล้วนเป็นผลพวงการบริหารจัดการของรัฐบาล พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา
เนื่องจากวันที่ทักษิณกลับประเทศไทย 22 สิงหาคม 2566 ตรงกับวันที่นายเศรษฐาทวีสิน จากพรรคเพื่อไทยได้รับเลือกจากสภาให้เป็น ว่าที่นายกรัฐมนตรี ดังนั้น การบริหารจัดการ เรื่องนักโทษกลับมามอบตัว นำตัวไปขึ้นศาล เข้าเรือนจำ จนถึงส่งเข้าโรงพยาบาล ตลอดการลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ พระราชทานอภัยโทษลดโทษจากจำคุกแปดปีเหลือโทษจำคุกหนึ่งปี ล้วนอยู่ภายใต้การกำกับดูแลการรับสนองพระบรมราชโองการของรัฐบาลรักษาการคือพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา
จึงไม่แปลกใจว่าทำไมพรรคเพื่อไทยจึงยอมให้ สส.รังสิมันต์ อภิปรายมหากาพย์ชั้น 14 ซึ่งพุ่งเป้าโจมตีไปที่พลเอกประยุทธ์ เพื่อให้ น.ส.แพทองธาร ได้ชี้แจงสบายๆ ว่าทั้งหมดไม่ได้ดีลกับดิฉันนะ ส่วนพลเอกประยุทธ์ดีลกับใครเพื่อผลประโยชน์อันใดหรือไม่ไม่เกี่ยวกับรัฐบาลแพทองธารเลยแม้แต่น้อย
ผู้ที่ติดตามการเมืองมานาน ย่อมอ่านเกมออกว่า กลุ่มปฏิปักษ์สถาบัน มักใช้โอกาสทุกครั้งที่มีช่องว่างโจมตีองคมนตรี กระทบคลาดไปไกลกว่านั้น ตัวอย่างเช่นในทศวรรษ 2550 หลังจากทักษิณ ชินวัตรถูกยึดอำนาจไม่นาน พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีตกเป็นเป้าหมายถูกโจมตีในบนเวทีปราศรัยคนเสื้อแดง ในยุคนั้นคนเสื้อแดงเหิมเกริมถึงบุกถล่มก่อจลาจลบ้านสี่เสา จนถูกดำเนินคดีศาลตัดสินติดคุกติดตะรางหลายราย
เป็นที่น่าสังเกตว่า การอภิปรายไม่ไว้วางใจ ทั้งฝ่ายค้าน และรัฐบาลสุมหัวกันโทษความเสียหาย ความเลวร้ายในปัจจุบันว่า เป็นผลพวงสืบเนื่องมาจากรัฐบาล พลเอกประยุทธ์ แม้แต่เรื่องพลังงานที่ถกเถียงกัน ทั้งรัฐบาลและฝ่ายค้านก็มุ่งโจมตีไปที่รัฐบาลก่อนหน้าพรรคเพื่อไทยเข้ามาว่าไปทำสัญญาให้บริษัทเอกชนตั้งโรงงานผลิตไฟฟ้าขายไฟรัฐถึง 5,000 เมกะวัตต์ซึ่งมากเกินความต้องการใช้ไฟฟ้าจริงของประเทศไทย 30-40% ซึ่งเป็นผลให้ประชาชนต้องรับกรรมจ่ายค่าไฟแพงเกินจริงไปอีก 25 ปีตามสัญญา
นอกจากนั้นรัฐบาลปัจจุบันยังกล่าวหาพลเอกประยุทธ์ ว่า ทำรัฐธรรมนูญ’60 ขึ้นมาเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาการเมืองและปฏิรูปประเทศ นายชูศักดิ์ ศิรินิล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ อภิปรายในสภา และกล่าวด้วยว่าความพยายามแก้รัฐธรรมนูญปี’60 และเสนอกฎหมายนิรโทษกรรมที่รวมผู้กระทำความผิดคดีอาญามาตรา 112 เข้าไปด้วยก็มีอุปสรรคทำไม่ได้แต่รัฐบาล น.ส.แพทองธารมีความมุ่งมั่นจะร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ให้ได้ในรัฐบาลนี้
ในเวลาเดียวกัน ฝ่ายค้านก็อภิปรายเป็นประโยชน์ต่อสาธารณะเช่นกัน หากว่าฝ่ายค้านนำหลักฐานจากการอภิปรายให้ ป.ป.ช.สอบสวนดำเนินคดีเช่น กรณีที่ นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศรยกเอาเรื่องการทำ “นิติกรรมอำพราง” เพื่อหลีกเลี่ยง “ภาษีการรับให้” ซึ่งเป็นจำนวนเงินสูงถึง 218.7 ล้านบาท
สส.ฝ่ายค้านคนนี้ ระบุว่า การทำนิติกรรมอำพรางเพื่อเลี่ยงภาษีการรับให้มาตั้งแต่ ปี 2559 โดยอธิบายว่า แต่เดิมก่อนที่จะมีภาษีการรับให้ การจะโอนหุ้นไปให้คนนั้น จะซุกหุ้นไว้กับคนนี้ ยักย้ายถ่ายเทกันไปมา ก็อ้างว่าให้โดยเสน่หา ก็ไม่ต้องเสียภาษี แต่พอมีการแก้ไขกฎหมายประมวลรัษฎากร เงินได้ที่ได้รับจากการอุปการะ หรือจากการให้โดยเสน่หาจากบุพการี ผู้สืบสันดาน
ได้รับการยกเว้นภาษีเฉพาะเงินได้ในส่วนที่ไม่เกิน 10 ล้านบาท หมายความว่าพี่ให้น้อง น้องให้พี่ ลุงให้หลาน หลานให้ลุง ถ้าเกิน 10 ล้านบาท ส่วนที่เกินต้องเสียภาษีในอัตรา 5% เช่นเดียวกัน
“มีรายงานระบุว่า ตั๋ว PN ทั้ง 9 ใบนี้ เป็นตั๋วสัญญาใช้เงินที่มีเงื่อนไขสุดว้าวมาก คือ จะชำระเงินค่าซื้อหุ้นเมื่อทวงถาม หมายความว่าหนี้สินทั้ง 9 รายการจากการซื้อหุ้นจากพี่สาวพี่ชาย ลุง ป้าสะใภ้ และแม่ เป็นหนี้สินที่ไม่มีกำหนดว่านางสาวแพทองธาร ต้องจ่ายค่าซื้อหุ้นเมื่อไหร่ ถ้าชาตินี้ไม่มีใครทวง
น.ส.แพทองธาร ทำนิติกรรมอำพรางหรือไม่ ต้องให้หน่วยงานบังคับผู้ใช้กฎหมายสอบสวนดำเนินคดี มิใช่ใช้สำนวนโวหารทำลายอีกฝ่ายโดยไม่ทำอะไรต่อตามกฎหมาย
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี