ปรากฏการณ์แผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นล่าสุดโดยมีจุดศูนย์กลางอยู่ที่มัณฑะเลย์ ซึ่งส่งแรงสั่นสะเทือนไปถึงประเทศจีนตอนใต้ และประเทศไทยเกือบทั้งประเทศ เป็นเครื่องบ่งบอกให้รู้ว่าประเทศไทยมิได้รับการยกเว้นว่าจะไม่เกิดแผ่นดินไหว
การไหวสั่นของแผ่นดินเมื่อช่วงบ่ายของวันศุกร์ 28 มีนาคม ทำให้ตึกสูงจำนวนมากในเขตกรุงเทพมหานครได้รับผลกระทบมากบ้างน้อยบ้างต่างกันไป แต่มีอยู่ตึกหนึ่งซึ่งกำลังก่อสร้างถึงกับพังทลายลงมาภายในพริบตา ซึ่งภาพการพังทลายของตึกที่กำลังก่อสร้างทำให้เป็นภาพหลอนของคนไทยจำนวนไม่น้อย
ส่วนตึกสูงอื่นๆ นั้น หลายตึกได้รับความเสียหาย โดยบางแห่งมีปัญหาผนังตึกร้าว หรือบางแห่งฝ้าเพดานพังถล่มลงมา ในขณะที่หลายตึกไม่อนุญาตให้ผู้พักอาศัยเข้าไปในเขตตัวตึกเพราะไม่มั่นใจในความปลอดภัย เกรงว่าตึกจะพังถล่มลงมา และเป็นเหตุให้มีผู้บาดเจ็บเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก
หลังเกิดเหตุแผ่นดินไหวซึ่งส่งแรงสั่นสะเทือนไปถึงกรุงเทพมหานคร ก็ทำให้หลายคนเกิดอาการตื่นตระหนก หลายคนเกิดอาการช็อกจนบางรายมาแบบกะทันหันเพราะตกใจ ส่วนคนอีกเป็นจำนวนมากนับล้านคนเกิดอาการหวาดวิตก
ดังนั้น คนที่อยู่ในกรุงเทพฯ ในช่วงหลังจากเกิดแผ่นดินไหวจึงตกอยู่ในสภาพหวาดระแวง เกรงว่าจะเกิดแผ่นดินไหวซ้ำขึ้นมาอีก หลายคนไม่กล้ากลับขึ้นไปอยู่บนตึกสูง จึงต้องไปขอพักอาศัยอยู่กับญาติพี่น้อง หรือเพื่อนฝูงที่อยู่อาศัยในอาคารที่ไม่สูงมากนัก แต่ก็มีอีกหลายคนที่บอกว่าทำใจไว้แล้วว่าอะไรจะเกิดก็ต้องเกิด จึงกลับเข้าไปอาศัยอยู่ในห้องพักซึ่งอยู่ในตึกสูงที่มีภาพปรากฏว่าตัวตึกสั่นไหวในขณะที่กำลังเกิดเหตุแผ่นดินไหว แต่นิติบุคคลที่ดูแลตึกที่เกิดการสั่นไหวยังไม่อนุญาตให้ผู้พักอาศัยเข้าไปในตัวอาคาร โดยให้เหตุผลว่าต้องรอผลการตรวจสอบให้แน่ชัดก่อนว่าไม่มีภัยอันตรายใดๆ เกิดขึ้นกับตัวตึก หลังจากผ่านเหตุแผ่นดินไหวไปได้ไม่เกิน 4-5 ชั่วโมง
แต่สิ่งหนึ่งที่ปรากฏขึ้นในกรุงเทพฯคือความโกลาหล โดยเฉพาะปัญหาการจราจรติดขัดอย่างบ้าคลั่ง คนที่ผู้เขียนรู้จักเป็นจำนวนมากบอกตรงกันว่าต้องเดินด้วยเท้าเพื่อกลับบ้าน เพราะไม่มีรถเมล์ และไม่สามารถเรียกรถรับจ้างได้ เนื่องจากถูกปฏิเสธทุกครั้ง
คนที่ผู้เขียนรู้จักเป็นอย่างดีหลายคน บอกว่าต้องเดินจากสยามสแควร์ไปจนถึงสะพานควาย หลังจากที่รอรถเมล์เป็นเวลานานกว่า 2 ชั่วโมง แต่ก็ไม่สามารถใช้บริการรถเมล์ได้ ส่วนรถไฟฟ้าทั้งบนดินและใต้ดินก็หยุดให้บริการ
ลองจินตนาการดูแล้วจะเข้าใจได้โดยไม่ยากว่า เมื่อระบบขนส่งมวลชนระบบรางของกรุงเทพฯไม่สามารถใช้การได้ นั่นก็หมายความว่าประชาชนต้องกลับไปใช้การขนส่งด้วยระบบเดิมคือรถยนต์ เพราะฉะนั้น เมื่อทุกคนใช้รถยนต์พร้อมๆ กันก็จึงไม่ต้องแปลกใจที่เกิดปัญหาจราจรติดขัดอย่างหนักทั่วกรุงเทพฯและลามไปยังปริมณฑล
คนผู้หนึ่งที่ผู้เขียนรู้จักเล่าให้ฟังว่าหลังจากเกิดเหตุแผ่นดินไหวในกรุงเทพฯ เขาผู้นี้รอดูสถานการณ์อยู่สักประมาณ 40 นาที แล้วจึงตัดสินใจเดินทางเข้าไปยังกรุงเทพฯเขตชั้นใน คือย่านห้วยขวางผลปรากฏคือคนขับรถแท็กซี่ใจดี ยอมพาคนที่ผู้เขียนรู้จักรายนี้ ไปส่ง ณ จุดที่ได้ตกลงกันไว้ แต่ปรากฏว่าเขาผู้นั้นต้องติดอยู่บนถนนนานกว่า5 ชั่วโมง และเสียค่าแท็กซี่ให้กับผู้ขับเป็นเงิน1,400 บาท
รถยนต์หลายหมื่นคัน จอดนิ่งบนถนนที่มีสภาพจราจรติดขัดอย่างบ้าคลั่ง รถยนต์บางคันติดขัดจนน้ำมันหมดถัง ทำให้ต้องจอดรถยนต์ทิ้งไว้บนพื้นผิวจราจร
ภาพแห่งความกลัวที่บังเกิดบนท้องถนนในกรุงเทพมหานคร ส่งผลให้ผู้คนบางกลุ่มเดินทางออกนอกกรุงเทพฯ เพื่อไปยังต่างจังหวัด โดยให้เหตุผลว่าขอกลับไปดูบ้านเกิดของตัวเองว่าตกอยู่ในสภาพอย่างไร และบางคนก็ให้เหตุผลว่าอยากกลับไปเห็นหน้าพ่อแม่ญาติพี่น้องของตนอีกครั้ง เพราะไม่แน่ใจว่าอะไรจะเกิดขึ้นหลังจากนี้
แต่ทั้งหมดทั้งมวลนี้สิ่งที่ประชาชนผู้ประสบภัยจากเหตุแผ่นดินไหววิพากษ์วิจารณ์ตรงกันก็คือไม่ได้รับข้อมูลข่าวสารจากภาครัฐบาล และไม่ได้รับรู้เรื่องราวใดๆจากภาครัฐ โดยเฉพาะเรื่องข้อมูลแหล่งที่มีความปลอดภัยเมื่อเกิดเหตุภัยพิบัติ นอกจากนี้ยังไม่ได้รับข้อมูลเรื่องเส้นทางคมนาคม เส้นทางสัญจรที่ปลอดภัย ขณะเดียวกันสิ่งที่ชาวกรุงเทพฯได้รับคือ เมื่อเกิดเหตุไม่ปกติขึ้น ไม่มีแม้กระทั่งเจ้าหน้าที่ของภาครัฐให้ข้อมูลเส้นทางคมนาคม จุดรวมพลที่ปลอดภัย แต่สิ่งที่ประชาชนได้รับก็คือการส่งข่าวกันเอง โดยผ่านระบบออนไลน์ แต่ก็เป็นข่าวที่ไม่ได้รับการยืนยันว่าจริงหรือเท็จ เพราะฉะนั้นจึงมีข่าวเท็จเกิดขึ้นเป็นจำนวนมิใช่น้อย เช่นข่าวที่เล่าลือกันว่าสะพานแขวนกำลังจะพังทลาย หรือทางด่วนทรุดตัว แม้กระทั่งถนนหนทางทรุดตัว
สิ่งเหล่านี้คือเครื่องบ่งบอกว่ารัฐบาลไม่ได้ให้ความสำคัญกับการให้ข้อมูลข่าวสารในยามวิกฤต และรัฐบาลไม่สามารถจะจัดการให้ประชาชนมั่นใจในขณะที่กำลังเกิดเหตุวิกฤตได้
เพราะฉะนั้นเมื่อไม่มีข้อมูลที่สามารถไว้ใจได้จากภาครัฐ ก็จึงเกิดความตื่นตระหนก อันเนื่องมาจากมีข่าวลือข่าวเท็จมากมาย
แต่อย่างไรก็ตามก็ต้องขอบคุณที่ภาคประชาชนด้วยกันเองส่งข่าวให้กันและกันตลอดเวลา แม้บางเรื่องอาจจะเป็นข่าวไม่จริง แต่เมื่อสอบถามในกลุ่มประชาชนด้วยกันเองก็ได้รับข้อมูลว่า พยายามให้ข้อมูลกันและกันเพราะไม่อยากให้ใครต้องตกอยู่ในสภาวะอันตราย แต่เมื่อถามต่อไปว่าแล้วรู้ได้อย่างไรว่าข่าวที่ให้นั้นเป็นเรื่องจริง ก็ได้รับคำตอบว่าก็เห็นว่าเขาส่งกันต่อๆ กันมา ก็จึงส่งต่อไป โดยไม่มีเจตนาร้ายกับผู้ที่แต่ละคนส่งข่าวต่อไปให้
จึงสรุปได้ว่าในยามเกิดเหตุวิกฤตแล้วภาครัฐไม่สามารถให้ข้อมูลกับประชาชนได้ ประชาชนจึงต้องพยายามช่วยเหลือกันเองด้วยการส่งข่าวที่แต่ละคนพอจะทราบ ซึ่งในบางครั้งก็กลายเป็นข่าวลือข่าวลวง เพราะฉะนั้นถ้าภาครัฐไม่ต้องการให้ข่าวลือข่าวลวงกระจายออกไปในวงกว้าง ภาครัฐก็ต้องให้ข้อมูลข่าวสารที่เป็นประโยชน์และเป็นความจริงกับประชาชนโดยเร็วที่สุด
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี