เหตุแผ่นดินไหวเมื่อวันที่ 28 มีนาคมที่ผ่านมา ต้องบันทึกไว้เป็นอุทาหรณ์เตือนใจว่า ถ้าชาติบ้านเมืองมีผู้นำที่อ่อนด้อยสติปัญญา ขาดความรอบรู้ ขาดความสามารถ และขาดประสบการณ์ เฉกเช่น“มาดามแพทองโพย”นั้น จะทำให้ประชาชน“ตายหมด”
เนื่องจากเหตุแผ่นดินไหวครั้งนี้ ได้สะท้อนให้เห็นว่า นายกรัฐมนตรีผู้นี้ที่ไม่เคยทำงานอะไรประสบความสำเร็จมาก่อน จึงเป็นได้เพียงแค่“ลูกคุณหนูพ่อรวย” ซึ่งถูกบิดาจับเชิดขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรี เพื่อที่ผู้เป็นบิดาจะได้ประทับทรงและใช้อำนาจผ่านบุตรสาวได้โดยสะดวก และสามารถชักใยได้มากกว่า“นายกฯหุ่นเชิด”คนอื่นๆ ที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็น สมัคร สุนทรเวช, สมชาย วงศ์สวัสดิ์, ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร หรือ เศรษฐา ทวีสิน
สติปัญญาของ“มาดามแพทองโพย”ที่สัมผัสได้จากการทำงานในฐานะผู้นำรัฐบาลตลอด 6 เดือนกว่าที่ผ่านมา จึงเห็นเก่งแต่เรื่องเจื้อยแจ้วเหมือนนกแก้วนกขุนทอง ส่วนทักษะความคล่องแคล่วฉับไวในการทำงาน ก็เห็นมีแต่การต่อปากต่อคำกับสื่อ เมื่อถูกถามแทงใจดำเกี่ยวกับบิดาและบุคคลในครอบครัวชินวัตร หรือไม่ก็ชี้แจง“เล่นลิ้น”สวนกลับฝ่ายค้านจากการถูกอภิปรายไม่ไว้วางในที่ประชุมสภาฯที่เพิ่งจะผ่านพ้นมาได้ไม่กี่วัน โดยหาสาระอะไรไม่ได้เลยแม้แต่น้อย
ในสังคมโซเชียลถึงกับพูดกันเป็นเสียงเดียวว่า เหตุแผ่นดินไหวครั้งนี้เหมือนกับ“ธรณีพิโรธ” แม้ว่าความรุนแรงขนาด 7.8-8.2 จาก“แนวรอยเลื่อนสะกาย” ที่ลึกลงไปจากพื้นดินประมาณ 10 กิโลเมตร โดยมีศูนย์กลางอยู่ที่เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศเมียนมา และอยู่ระนาบใกล้กับจังหวัดเชียงรายของไทย จะรุนแรงหนักหน่วงมากกว่าครั้งที่ผ่านๆ มาก็ตาม แต่ก็ต้องถือว่าเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่าง“ผิดปกติวิสัย”
เป็นความ“ผิดปกติวิสัย”ที่คนโบราณเชื่อกันว่า หากคนไม่ดีขึ้นมาบริหารประเทศ ก็มักจะเกิด“อาเพศ”ในทำนองนี้ เสมือนลางร้ายจากการถูกฟ้าดินลงโทษ ซึ่งเหตุแผ่นดินไหวเมื่อวันที่ 28 มีนาคม ถ้าปัญหาจำกัดวงเพียงเฉพาะในพื้นที่จังหวัดภาคเหนือ ก็ดูจะเป็นเรื่องปกติ เพราะเหตุการณ์เช่นนี้มักจะเกิดขึ้นอยู่บ่อยๆ ในจังหวัดภาคเหนือ อาทิ จังหวัดแม่ฮ่องสอง เชียงราย หรือจังหวัดเชียงใหม่ ด้วยสาเหตุอันเนื่องมาจากรอยเลื่อนของแผ่นดินที่มีศูนย์กลางอยู่ในประเทศเมียนมา
แต่สำหรับแผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ กลับส่งผลกระทบจากจังหวัดภาคเหนือลงมาถึงภาคกลาง ตั้งแต่จังหวัดอ่างทอง, พระนครศรีอยุธยา, ปทุมธานี, นนทบุรี, สมุทรปราการ และกรุงเทพมหานครเมืองหลวง ซึ่งหนักหนาสาหัสที่สุด ผู้คนหวาดผวากันทั้งเมือง อาคารตึกสูงมีปัญหา แม้กระทั่งการสัญจรไปมาก็กลายเป็นอัมพาต
อย่างไรก็ตาม ข่าวสารในโลกโซเชียล ได้ย้อนนึกถึงเหตุการณ์ในรอบ 20 ปี จากการขึ้นมาบริหารประเทศในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ของบุคคลใน“ตระกูลชินวัตร” 3 คน ปรากฏว่าประเทศไทยต้องประสบเหตุเภทภัยทางธรรมชาติเหมือนมี“อาเพศ” บ้านเมืองเกิดความสูญเสียทั้งชีวิตผู้คน และความเดือดร้อนของประชาชนในลักษณะคล้ายๆ กันทั้ง 3 ยุค
สมัยอดีตนักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี เกิดเหตุแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์ ขนาด 9.1 เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2547 บริเวณนอกชายฝั่งทะเลเกาะสุมาตรา ประเทศอินโดนีเซีย จนเกิดคลื่นยักษ์“สึนามิ”ในมหาสมุทรอินเดีย เป็นผลให้ชายฝั่งทะเลอันดามันในภาคใต้ของไทย ที่จังหวัดระนอง, พังงา, ภูเก็ต, กระบี่, ตรัง และสตูล มีคนไทยและนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเสียชีวิตและสูญหายไม่ต่ำว่า 8,800 คน
สมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในปี 2554 เกิด“มหาอุทกภัย”น้ำท่วมใหญ่ เริ่มตั้งแต่ปลายเดือนกรกฎาคม 2554 จนถึงเดือนมากราคมต้นปี 2555 จำนวนพื้นที่ประสบภัยพิบัติจากรายงานของธนาคารแห่งประเทศไทย พบว่ามีทั้งหมด 77 จังหวัด 87 อำเภอ 6,670 ตำบล หนักสุดคือพื้นที่ในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล มีประชาชนคนไทยได้รับผลกระทบมากว่า 12.8 ล้านคน โดยมีผู้เสียชีวิตทั้งหมด 813 ราย และสูญหาย 3 คน ซึ่งธนาคารโลกประเมินมูลค่าความเสียหายจากภัยพิบัติครั้งนี้มีจำนวนสูงถึง 1.44 ล้านล้านบาท
เมื่อมาถึงยุคผู้นำของ“ตระกูลชินวัตร”คนที่ 3 ใน พ.ศ.นี้ คือ “แพทองธาร ชินวัตร” ไม่เพียงแต่จะเกิดน้ำท่วมใหญ่ในจังหวัดภาคเหนือ และจังหวัดภาคใต้ ในช่วงปลายปีที่แล้วเท่านั้น แผ่นดินไหวในครั้งนี้ยังนับว่าเป็นเรื่องร้ายแรง ที่ไม่ต่างต่างจากสมัย“ทักษิณ ชินวัตร”ผู้เป็นบิดา และ“ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร”ผู้เป็นอา ซึ่งรายงานเบื้องต้นจากข้อมูลจากของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) กระทรวงมหาดไทย เมื่อวันที่ 29 มีนาคม มีทั้งหมด 13 จังหวัด และกรุงเทพมหานครที่ได้รับผลกระทบ มีผู้เสียชีวิต 9 ราย มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 9 ราย และมีผู้สูญหาย 101 ราย
แต่ที่หนักหนาสาหัสยิ่งกว่าในอดีต จากเหตุแผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ ก็คือ การขาด“ภาวะผู้นำ”ของ“มาดามแพทองโพย” อันเนื่องมาจากไม่มีวุฒิภาวะ และไม่มีความรู้ความสามารถพอที่จะบริหารประเทศได้ ภาพที่ปรากฏจึงทำให้เห็นว่า “มาดามแพทองโพย”ก็คือเด็กน้อยคนหนี่ง ที่ไม่ประสีประสาอะไรเลย หาใช่นายกรัฐมนตรีที่มีความรู้สามารถดังที่หัวหน้าพรรคร่วมรัฐบาลทุกคน“อวย” และบิดาคอย“ยกหาง”อยู่ตลอดเวลา
มิหนำซ้ำเมื่อไม่รู้ก็ยังไม่ฟัง แต่อยากแสดงความเป็นผู้นำ เห็นได้จาก“คลิปไวรัล”ที่เผยแพร่ในสังคมโซเชียลเวลานี้ ในการเป็นประธานการประชุมเพื่อติดตามสถานการณ์แผ่นดินไหว และกำหนดมาตรการให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบ ที่ศูนย์กองบัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เมื่อวันที่ 29 มีนาคมหลังเกิดเหตุแผ่นดินไหวหนึ่งวัน
ภาพที่ออกมากลายเป็นว่า “นายกรัฐมนตรีผู้ไร้สมอง”ไปนั่งไล่บี้ถามเรื่องขั้นตอนและเวลาในการแจ้งเตือนจากตัวแทนกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) เช่นว่า “อยากทราบว่าประเด็นแรกตอนที่เกิดเหตุการณ์ขึ้นเวลาประมาณ 13.20 น. ดิฉันอยู่ที่จังหวัดภูเก็ต สิ่งแรกที่ควรจะเกิดขึ้นมันคืออะไร เมื่อเกิดแผ่นดินไหว สิ่งแรกที่เกิดขึ้นประชาชนควรได้รับคืออะไรบ้าง ทั้งในเรื่องของ SMS หรือไม่ ถ้าใช่หน่วยงานไหนที่ต้องรับผิดชอบ”
คำถามของ“มาดามแพทองโพย”ดังกล่าวนั้น ตัวแทนจากกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ตอบชี้แจงกลับไปว่า “ปกติจะมีกองเฝ้าระวังแผ่นดินไหวของกรมอุตุนิยมวิทยารายงานแผ่นดินไหว และจะแจ้งมาที่ ปภ. เพื่อทำการแจ้งเตือนต่อไป โดยกรมอุตุนิยมวิทยาแจ้งมาที่ ปภ. และทำการแจ้งเตือนต่อไป ทั้งนี้ เหตุแผ่นดินไหวเป็นสถานการณ์เดียวที่ไม่สามารถแจ้งล่วงหน้าได้ จะรู้ก็ต่อเมื่อเกิดเหตุการณ์” พอฟังจบ“นายกฯคุณหนู” จึงกล่าวว่า “เป็นความรู้ใหม่ของดิฉันเหมือนกัน ต้องบอกให้ประชาชนรับรู้ว่า แผ่นดินไหวไม่มีการแจ้งล่วงหน้า หรือทำนายล่วงหน้าได้ว่าอีก 2 วันจะเกิดเหตุแผ่นดินไหว”
อีกหนึ่งถ้อยความที่สะท้อนให้เห็นว่า ประเทศนี้กำลังเอา“เด็กฝึกงาน”ที่ด้อยสติปัญญาขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรี
“เรื่องแผ่นดินไหวถามตัวดิฉันก็ไม่ทราบเหมือนกันว่า จะต้องทำตัวอย่างไร ค่อนข้างที่จะเหมือนประชาชนคนไทยทุกคน เพราะเราไม่ได้อยู่ในประเทศที่มีแผ่นดินไหวเป็นประจำและหนัก ทุกคนคิดว่าตัวเองไม่สบาย ขาดน้ำตาลอะไรหรือไม่ ก็คงต้องให้ความรู้เพิ่มเติมในเรื่องนี้”
ถ้าเป็นนายกรัฐมนตรีที่เป็น“มืออาชีพ”ไม่ใช่เด็กฝึกงาน ลำดับแรกจะต้องคิดว่า ควรทำอย่างไรต่อไป กับการแก้ปัญหาเฉพาะหน้านี้ นั่นคือความเดือดร้อนของประชาชน เรื่องการกินการอยู่ โดยเฉพาะผู้สูญหาย และผู้ที่ได้รับบาดเจ็บจากการถล่มของอาคารก่อสร้าง ซึ่งศูนย์บัญชาการ หรือศูนย์เฉพาะกิจภายใต้การอำนวยการของนายกรัฐมนตรี จะต้องประกาศจัดตั้งขึ้นมาทันทีทันใด
อย่างน้อยตัวอย่างก็มีให้เห็นเวลาเกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติ ทำไม“ครัวพระราชทาน”จึงเคลื่อนทัพไปถึงที่เกิดเหตุได้ทันการณ์ทุกครั้ง และทุกวันนี้โดยธรรมชาติของโลกโซเชียล ไม่ว่าจะเกิดเหตุที่มุมไหนของโลก ข่าวสารจะถูกส่งต่อแบบปากต่อปาก ทั้งรวดเร็วและกว้างไกลอยู่แล้ว เสียเวลาที่นายกรัฐมนตรีซึ่งประกาศตัวว่าเป็นมนุษย์“Gen Y”จะไปนั่งไล่เบี้ย และถามอะไรเหมือนเด็กน้อยที่ไม่รู้จักอะไรเลยสักอย่างบนโลกใบนี้ ได้แต่“โชว์ออฟ”สร้างภาพ จนทำให้คนทั่วไปทราบว่า ไร้สติปัญญาและไร้ความรอบรู้
เช่นนี้แล้ว หากปล่อยให้“มาดามแพทองโพย”เป็นนายกรัฐมนตรีบริหารประเทศต่อไป มิแคล้วชาติบ้านเมืองต้องวิบัติฉิบหาย และประชาชนคนไทยจะต้องเดือดร้อนอย่างแสนสาหัสไปทั่วทุกหัวระแหง
ฝันไปเถอะว่า-ประชาชนคนไทยจะ“มีกิน มีใช้ มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี” !
รุ่งเรือง ปรีชากุล
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี