การประชุมสภาผู้แทนราษฎรในวันพุธที่ 9 เมษายนนี้ มีประเด็นให้ต้องจับตาว่า สส.ทั้งพรรครัฐบาลที่มีพรรคเพื่อไทยเป็นหลัก และพรรคฝ่ายค้านอย่างพรรคประชาชน จะเล่นเกมอะไร ที่ทรยศหักหลังประชาชน โดยอ้างประชาชนเพื่อให้บรรลุประโยชน์ของตน
ประเด็นหนึ่งนั้น คือ ร่างพระราชบัญญัติสถานบันเทิงครบวงจร หรือร่างกฎหมายเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ที่เสนอโดยคณะรัฐมนตรี และซุก“กาสิโน”บ่อนการพนันอำพรางไว้ในร่างกฎหมายฉบับนี้ ซึ่งถูกคัดค้านต่อต้านอย่างกว้างขวางจากประชาชนคนไทยทุกภาคส่วน
อีกประเด็นหนึ่ง คือ ร่างกฎหมายนิรโทษกรรมคดีจากการชุมนุมทางการเมือง 4 ฉบับ ซึ่งจะเป็นประโยชน์โดยตรงกับพรรคประชาชน ในส่วนที่เกี่ยวกับผู้กระทำผิดมาตรา 112 และผลประโยชน์แฝงที่พรรคเพื่อไทยอาจจะได้ประโยชน์จากการ“ฟอกขาว-ล้างผิด”ในคดีทุจริตโกงบ้านกินเมือง ให้แก่อดีตนักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตร เจ้าของคอกพรรคเพื่อไทย เสมือนเป็นการ“เซ็ตซีโร่”เพื่อให้ทักษิณกลับเข้าสู่อำนาจได้อีกครั้ง โดยไม่มีเงื่อนไขใดๆ มาเป็นอุปสรรคค้ำคอ
ทั้งสองประเด็นสองเรื่องนี้ นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ได้เสนอเลื่อนระเบียบวาระขึ้นมาประชุมจะพิจารณาในวันที่ 9 เมษายน จากมติเห็นชอบของที่ประชุมสภาฯเมื่อวันที่ 3 เมษายนสัปดาห์ที่แล้ว ด้วยคะแนนเสียง 251 เสียง : 132 เสียง
อย่างไรก็ตาม ปัญหาใหญ่ของประเทศในเวลานี้ ที่สมควรจะต้องพิจารณาแก้ไขเป็นการเร่งด่วน และต้องอาศัยสติปัญญาและประสบการณ์ของทุกฝ่ายในประเทศนี้ ทั้งภาครัฐและเอกชนเพื่อร่วมมือกันตั้งรับ ไม่ใช่เรื่อง“กาสิโน” และเรื่อง“นิรโทษกรรม” นั่นก็คือ “นโยบายกำแพงภาษีของสหรัฐอเมริกา” ที่โดนัลด์ ทรัมป์ เปิดศึก“สงครามการค้า”กับประเทศต่างๆ ทั่วทุกภูมิภาค ซึ่งฝ่ายค้านจะเสนอเป็นญัตติด่วนต่อที่ประชุมสภาฯในวันที่ 9 เมษายนนี้
ต้องจับตาดูว่า สส.ฝ่ายรัฐบาล โดยเฉพาะพรรคเพื่อไทย จะเห็นความสำคัญเรื่อง“นโยบายกำแพงภาษีของสหรัฐอเมริกา”หรือไม่ เมื่อเทียบกับร่างกฎหมาย“เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์” ที่เป็นผลประโยชน์ทับซ้อนของพรรคเพื่อไทย และพรรคเพื่อไทยจะนำขึ้นมาพิจารณาเป็นวาระแรก โดยที่มาตรการภาษีใหม่ที่“โดนัลด์ ทรัมป์”ประกาศออกมานี้ จะส่งผลกระทบกับไทยในระดับ“แผ่นดินไหวทางเศรษฐกิจ” ซึ่งเปรียบกันว่ามีความรุนแรงมากกว่า 8 ริคเตอร์
ปัญหานี้แม้แต่ประเทศสิงคโปร์ที่มีเศรษฐกิจแข็งแกร่งกว่าประเทศไทย และถูกตั้งกำแพงภาษีต่ำกว่าประเทศไทย คือ 10 เปอร์เซ็นต์ ส่วนไทย 37 เปอร์เซ็นต์ ยังเห็นว่าเป็นเรื่องใหญ่ ทำให้“ลอว์เรนซ์ หว่อง” นายกรัฐมนตรีของสิงคโปร์ ต้องออกทีวีเป็นการเร่งด่วน เพื่อเตือนประชาชนให้เตรียมรับแรงกระแทกที่กำลังจะตามมา โดยกล่าวว่า“แม่น้ำที่เคยขึ้นลงตามปกตินั้น ได้เปลี่ยนทิศไปอย่างสิ้นเชิงแล้ว เป็นภัยแห่งรัฐที่ชัดเจนมากๆ”
ขณะที่“แพทองธาร ชินวัตร”นายกรัฐมนตรีของบ้านเรา ซึ่งไร้สติปัญญา และขาดความรอบรู้ในการบริหารราชการแผ่นดิน ให้สัมภาษณ์ไม่รู้เรื่องพูดจาฟังแล้วงงไปหมด เริ่มแรกก็มั่วนิ่มพูดเป็นภาษาอังกฤษที่เป็นคนละเรื่องเดียวกันว่า“More for Iess, less for More” และล่าสุดเมื่อวันที่ 6 เมษายนเมื่อวานนี้ “มาดามแพทองโพย”ได้ออกแถลงการณ์ฉบับที่ 2 ถึงท่าทีของประเทศไทยกับนโยบายการค้าของสหรัฐฯ-โดยกล่าวว่า
“สิ่งที่เราจะสื่อสารกับรัฐบาลสหรัฐฯก็คือ ประเทศไทยไม่ใช่แค่ผู้ส่งออกเท่านั้น แต่เราคือพันธมิตรและหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจ ที่สหรัฐฯเชื่อถือได้ในระยะยาว..รัฐบาลได้สรุปข้อเสนอเชิงนโยบายต่างๆ เช่นการเพิ่มการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ ในด้านพลังงาน อากาศยาน และ สินค้าเกษตร”
สรุปก็คือ “มาดามแพทองโพย” จะซื้อเครื่องบิน ซื้อพลังงาน และซื้อสินค้าเกษตรจากสหรัฐฯเพิ่มขึ้น เพื่อแลกกับการไม่ให้สหรัฐฯขึ้นภาษีสินค้าของไทยที่ส่งไปขายในสหรัฐฯ โดยที่ไม่ได้ใช้เงิน“โกงพ่อมึงสิ”ไปซื้อ ดังคำที่อดีตนักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตร ผู้เป็นบิดาเคยพูด หรือเหมือนกับใช้เงินของแผ่นดินไปแจกในโครงการ“ดิจิทัล วอลเล็ต”เพื่อหาคะแนนนิยม แทนที่จะใช้เงินของ“ตระกูลชินวัตร”
นึกๆ ดูแล้วถ้าประชาชนคนไทยลุกขึ้นมาประท้วงต่อต้านรัฐบาล“แพทองโพย” เหมือนกับที่ชาวอเมริกันเรือนแสนเรือนล้านทั่วประเทศทั้ง 50 รัฐ ได้ลุกฮือขึ้นมาประท้วงต่อต้าน“โดนัลด์ ทรัมป์”ในเวลานี้ ก็คงจะดี
เพราะขืนปล่อยให้“มาดามแพทองโพย”เป็นนายกรัฐมนตรีต่อไป ก็มีแต่จะนำพาประเทศชาติไปลงเหว ไม่ใช่“มีกิน มีใช้ มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี”อย่างที่พรรคเพื่อไทยโฆษณาชวนเชื่อ !
รุ่งเรือง ปรีชากุล
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี