หลายองค์กรได้ร่วมกันคัดค้านแสดงจุดยืนไม่เห็นด้วยต่อแนวนโยบาย “เอ็นเตอร์เทนเมนท์คอมเพล็กซ์” เพื่อนำไปสู่การเปิดบ่อนกาสิโน ที่รัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร และพรรคเพื่อไทยกำลังเร่งผลักดัน ทั้งๆ ที่ไม่ได้หาเสียงไว้ในการเลือกตั้ง โดยไม่กลัวบาปกรรมแม้แต่น้อย
น่าสนใจประเด็นที่ นายนิพนธ์ บุญญามณี อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย อดีตนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสงขลา และอดีต สส. 8 สมัย แสดงความกังวลต่อทิศทางนโยบายที่มุ่งเน้นเรื่องกาสิโนมากกว่าประโยชน์ด้านอื่น พร้อมตั้ง ข้อสังเกตว่ารัฐบาลยังขาดความพร้อมในการรับมือกับผลกระทบทางสังคมอย่างแท้จริง
และตั้งข้อสังเกตว่า แม้รัฐบาลจะประชาสัมพันธ์ว่า นโยบายเอ็นเตอร์เทนเมนท์คอมเพล็กซ์มีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวและกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่เนื้อแท้ ของนโยบายกลับมุ่งเป้าไปที่การเปิดบ่อนกาสิโน โดยพิจารณาจากการผลักดันกฎหมายที่เกี่ยวข้องถึง 3 ฉบับ ได้แก่ ร่างพ.ร.บ.สถานบันเทิงครบวงจรซึ่งเปิดทางให้เกิดการจัดตั้งศูนย์รวมกิจกรรมต่างๆ รวมถึงบ่อนพนัน, ร่างพ.ร.บ.การพนันออนไลน์ ที่จะเป็นการขยายพื้นที่ของการพนันเข้าสู่ระบบดิจิทัลแบบถูกกฎหมาย, ร่างพ.ร.บ.การท่าเรือแห่งประเทศไทยซึ่งถือเป็นการปรับโครงสร้างการใช้ที่ดินบริเวณท่าเรือ ให้สามารถรองรับการพัฒนาพื้นที่สำหรับกิจกรรมเอกชน รวมถึงกาสิโนได้ ทั้งนี้ การเสนอร่างกฎหมายเหล่านี้ในเวลาใกล้เคียงกัน สะท้อนเจตนารมณ์ที่ชัดเจนของรัฐบาลว่ากำลังเตรียมความพร้อมด้านกฎหมายเพื่อเปิดทางให้กาสิโนสามารถดำเนินกิจการในประเทศได้
ยกกรณี “ท่าเรือคลองเตย” ซึ่งเป็นหนึ่งในพื้นที่เป้าหมายของโครงการ ว่ามีพื้นที่รวมกว่า 2,353 ไร่ โดยตามแนวนโยบายที่ระบุว่า 10% ของพื้นที่สามารถใช้สำหรับกาสิโนได้ จะทำให้พื้นที่ที่ใช้สร้างบ่อนพนันมีขนาดถึง 235 ไร่ ซึ่งนับว่าใหญ่โตมากเมื่อเปรียบเทียบกับสถานที่สาธารณประโยชน์ที่มีบทบาทสำคัญต่อสังคม เช่น โรงพยาบาลศิริราช มีเนื้อที่ 412 ไร่, โรงพยาบาลรามาธิบดี มีเพียง 38 ไร่, มหาวิทยาลัยรามคำแหง มีประมาณ 300 ไร่, มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ มีเพียง 49 ไร่ การใช้พื้นที่ระดับหลายร้อยไร่เพื่อกาสิโน เท่ากับการให้ความสำคัญกับธุรกิจพนันมากกว่าการลงทุนในระบบสุขภาพหรือการศึกษา ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของการพัฒนาคุณภาพประชากรในระยะยาว
จากประเด็นดังกล่าว นายนิพนธ์ แสดงความกังวลว่า รัฐบาลกำลังมุ่งหวังรายได้จากกิจกรรมที่อาจกลายเป็น “การมอมเมา” ประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางที่มีแนวโน้มตกเป็นเหยื่อของการเสพติดการพนัน ซึ่งอาจนำไปสู่ปัญหาสังคม เช่น หนี้สิน ความรุนแรงในครอบครัว อาชญากรรม และภาวะยากจนในระยะยาว ตนเห็นว่ารัฐบาลขาดมาตรการรองรับผลกระทบ
เหล่านี้อย่างเป็นระบบ และพยายามผลักภาระไปให้หน่วยงานอื่น เช่น สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) แทนที่จะตั้งกลไกเฉพาะกิจเพื่อวางแนวทางป้องกันและบำบัดปัญหาอย่างรอบด้าน
นอกจากนี้ นายนิพนธ์ ยังวิพากษ์การที่รัฐบาลไทยนำตัวอย่าง “กาสิโนในสิงคโปร์” มาอ้างอิง โดยมองว่าเป็นการเลือกหยิบมาเพียงบางด้านที่เอื้อต่อข้ออ้างในการผลักดันนโยบาย เช่น รายได้จากนักท่องเที่ยวหรือการบริหารจัดการพื้นที่ แต่กลับไม่พูดถึงสิ่งสำคัญที่รัฐบาลสิงคโปร์ได้ดำเนินการก่อนจะเปิดกาสิโน ได้แก่ การใช้เวลาศึกษานโยบายและผลกระทบ นานกว่า 10 ปี, การจัดตั้งหน่วยงานเฉพาะเพื่อวิเคราะห์ผลกระทบทางสังคมและเศรษฐกิจ, การวางมาตรการควบคุมพฤติกรรมเสพติดการพนัน เช่น ค่าผ่านประตูสำหรับคนสิงคโปร์ หรือการจำกัดเวลาการเล่น ซึ่งการนำเพียงข้อดีของโมเดลต่างประเทศมาใช้ โดยไม่คำนึงถึงโครงสร้างสังคม เศรษฐกิจ และวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน อาจส่งผลให้ประเทศไทยต้องเผชิญกับผลกระทบที่ไม่สามารถควบคุมได้
ทั้งยัง ทิ้งท้ายว่า การพัฒนาเศรษฐกิจที่ยั่งยืนต้องมาพร้อมกับการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนทุกระดับ โดยเฉพาะเยาวชนและครอบครัว หากรัฐบาลให้ความสำคัญกับการเปิดพื้นที่ให้กับธุรกิจการพนันมากกว่าการลงทุนด้านการศึกษาและสุขภาพ ย่อมสะท้อนว่าประเทศกำลังมุ่งไปในทิศทางที่น่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี