เวลานี้เสียงคัดค้านต่อต้าน“กฎหมายการประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร” หรือ“เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์” ซึ่งสภาผู้แทนราษฎรจะมีการประชุมพิจารณาวาระแรกขั้นรับหลักการในวันที่ 9 เมษายนพรุ่งนี้นั้น ได้ดังกระหึ่มไปทั่วทั้งประเทศ ทั้งจากประชาชน สมาคม และภาคประชาชนองค์กรต่างๆ ที่ลุกขึ้นมาเรียกร้องให้รัฐบาล และ สส.ในสภาฯจากทุกพรรคการเมือง“หยุดกาสิโน”
เหตุผลที่คัดค้านนั้นเหมือนกันทุกคนทุกองค์กร ด้วยเห็นว่า กาสิโนจะนำมาซึ่งความวิบัติฉิบหายให้แก่ชาติบ้านเมือง เพราะโครงการ“เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์”ที่พรรคเพื่อไทยมีผลประโยชน์ทับซ้อนโดยอำพรางบ่อนกาสิโนซุกอยู่ในร่างกฎหมายนั้น มีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดหายนะทางสังคมและเศรษฐกิจ เนื่องจากรัฐบาลยังไม่เคยมีการศึกษาความเป็นไปได้และผลกระทบที่จะเกิดขึ้นอย่างรอบด้าน
ทั้งนี้ก็เพราะว่าปัจจุบันประเทศไทยมีการทุจริตคอร์รัปชันในระดับรุนแรง จนทำให้การบังคับใช้กฎหมายไม่มีประสิทธิภาพ ดังจะเห็นได้ว่าแม้แต่อาคารก่อสร้าง สตง.แห่งใหม่ย่านจตุจักร ที่พังถล่มลงมาจากเหตุแผ่นดินไหว จนกลายเป็นโศกนาฏกรรม กระทั่งผ่านมาแล้วเข้าสัปดาห์ที่สอง ก็ยังไม่สามารถกู้ชีวิตผู้เคราะห์ร้ายที่ถูกทับอยู่ใต้ซากปรักหักพังออกมาได้ อย่าว่าแต่ชีวิตเป็นเลยๆ แม้แต่ศพของผู้เสียชีวิตก็ยังกู้ออกมายากลำบาก และนี้ก็ล้วนเป็นผลมาจากการทุจริตคอร์รัปชั่นของหน่วยงาน ที่มีหน้าที่ในการบังคับใช้กฎหมายเกี่ยวกับการควบคุมตรวจสอบมาตรฐานวัสดุก่อสร้าง ถ้าหากมีกาสิโนถูกกฎหมายก็คงไม่แตกต่างกัน
อีกทั้งเจตนารมณ์ของรัฐบาลโดยพรรคเพื่อไทยในการออกกฎหมาย“เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์” แม้จะอ้างว่า เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว ด้วยหวังที่จะกระตุ้นให้เกิดการลงทุนในประเทศ และส่งเสริมการจ้างงานในประเทศ โดยมีกาสิโนเพียงแค่ 10 เปอร์เซ็นต์ในสถานบันเทิงครบวงจรนั้น หากพิจารณาในรายละเอียดของกฎหมาย และจากการให้สัมภาษณ์ของ“มาดามแพทองโพย” รวมทั้งนายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ที่เป็น“แม่งาน”รับผิดชอบเรื่องนี้โดยเฉพาะ ก็จะเห็นว่าไม่เป็นความจริง
ไม่เป็นความจริงเพราะ รัฐบาลกลับเพิ่มเติมประเด็นเพื่อแก้ปัญหาบ่อนผิดกฎหมาย รวมถึงปัญหาจากกรณีที่คนไทยไปเล่นกาสิโนในประเทศเพื่อนบ้านและประเทศต่างๆ เข้ามาซุกอยู่ในกฎหมายฉบบนี้ จึงย่อมแสดงให้เห็นว่า “มาดามแพทองโพย” และนายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ ต้องการดึงคนไทยกลับเข้ามาเล่นการพนันในบ่อนที่ถูกกฎหมายคือกาสิโนในบ้านเราได้อย่างเสรี ถึงขนาดจะมีการแก้เงื่อนไงของผู้ที่จะเข้าไปเล่นการพนันที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกากำหนดเพดานไว้ว่า ต้องมีเงินฝากในธนาคารไม่ต่ำกว่า 50 ล้านบาทและต่อเนื่องกันไม่น้อยกว่า 6 เดือน กลายเป็นว่ากลุ่มเป้าหมายที่แท้จริงไม่ใช่นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ แต่เป็นคนไทยบ้านเราที่“ผีพนันเข้าสิง”นี่เอง
และ ณ วินาทีนี้ คนที่สนับสนุนให้มีกาสิโนที่ซุกอยู่ในร่างกฎหมาย“การประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร” ก็มีแต่อดีตนักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตร เจ้าของคอกพรรคเพื่อไทย และบรรดา สส.ในคอกพรรคการเมืองนี้เท่านั้น ที่ส่งเสียงข่มขู่ฝ่ายตรงข้าม ซึ่งไม่เห็นด้วยและลุกขึ้นมาต่อต้านคัดค้านกฎหมายฉบับนี้อย่างกว้างขวาง อันถือได้ว่าเป็นเสียงส่วนใหญ่ของประเทศนี้
ไล่เรียงฝ่ายที่ลุกขึ้นมาคัดค้านต่อต้าน นอกจากเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย (คปท.), ศปปส., และกองทัพธรรม ที่ยืนอยู่แนวหน้ากลางสนามรบแล้ว ก็มี อาทิ ราชบัณฑิต สำนักธรรมศาสตร์ นำโดย ศ.กิตติคุณ ปิยนาถ บุนนาค, อาจารย์และนักวิชาการคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นำโดย รศ.ดร.สุกัญญา นิธังกร, รศ.วันรักษ์ มิ่งมณีนาคิน, รศ.ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง และ ศ.ดร.ปราณี ทินกร, ชมรมสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) 2550 นำโดย ศ.พิเศษจรัญ ภักดีธนากุล และกลุ่มแพทย์จุฬาอาวุโสรุ่น 27 นำโดย พล.อ.ต.นพ.ธนา ปุกหุต
นอกจากนั้น ก็ยังมี เสียงจากแพทย์เชียงใหม่รุ่น 15 (พ.ศ.2515-2521) นำโดย นพ.พิษณุ ขันติพงษ์ และ นพ.สกล ภูมิรัตนประพิณ, นิสิตรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย รุ่น 22 นำโดยนายปรีชา บุตรศรี และนายนันทิวัฒน์ สามารถ
หรือแม้แต่ องค์กรด้านศาสนาในประเทศไทยทั้ง 3 ศาสนา ได้แก่ พุทธ คริสต์ และอิสลาม ก็ได้ออกแถลงการณ์แสดงถึงจุดยืนร่วมกันในการคัดค้านร่างพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร หรือ “เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์” ซึ่งมีการบรรจุเรื่องการอนุญาตให้มีการเปิดกาสิโนในประเทศไทย โดยระบุว่าขัดต่อหลักคำสอนทางศาสนา และอาจส่งผลกระทบร้ายแรงต่อสังคมไทยในระยะยาว นั่นก็คือ พุทธสมาคมแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ และเครือสมาคมพระพุทธศาสนาทั่วราชอาณาจักร, สภาคริสตจักรในประเทศไทย และสถาบันวะสะฏียะฮ์เพื่อสันติภาพและการพัฒนา สำนักจุฬาราชมนตรี
โดยล่าสุดจากที่ปรากฏเป็นข่าวเมื่อวันที่ 7 เมษายนวานนี้ อดีตสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ทั้งหมด 102 คน นำโดย ศ.กิตติคุณ ดร.เทียนฉาย กีระนันทน์ อดีตประธาน สปช. และ รศ.ดร.ทัศนา บุญทอง อดีตรองประธาน สปช. ได้ส่งหนังสือเปิดผนึกถึงประธานรัฐสภา หัวหน้าพรรคการเมือง และสมาชิกรัฐสภา แสดงจุดยืนไม่เห็นด้วยต่อการที่รัฐบาลและรัฐสภาจะนำร่างกฎหมาย“การประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร” ซึ่งมีบ่อนกาสิโนสอดแทรกอยู่ในร่างกฎหมายดังกล่าว เข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรในวันที่ 9 เมษายน และเรียกร้องให้ยุติการผลักดันร่างกฎหมายฉบับนี้ด้วยการไม่รับหลักการ ตามเหตุผลดังต่อไปนี้
“1) ประเทศไทยจำเป็นต้องมีการปฏิรูปโดยเฉพาะการเพิ่มประสิทธิภาพประชากรและปัจจัยการผลิตต่างๆ เพื่อให้สามารถเพิ่มพูน แข่งขันกับนานาชาติได้ แต่การพนันทั้งกาสิโนและพนันออนไลน์เป็นอบายมุขที่เป็นปากเหวแห่งความเสื่อมที่จะบั่นทอนกำลังกาย กำลังสติปัญญาทั้งของเยาวชนและศักยภาพของประชากรในวัยทำงาน รัฐบาลควรมุ่งหมายในการเสริมสร้างทรัพยากรมนุษย์เพื่อการพัฒนาประเทศในระยะยาว ไม่ใช่ส่งเสริมอบายมุขเพื่อทำลายศักยภาพของคนไทย”
“2) การเปิดบ่อนการพนัน และต่อไปจะมีการพนันออนไลน์อย่างถูกกฎหมายเป็นการส่งสัญญาณการพัฒนาประเทศที่ผิด ก่อให้เกิดผลกระทบทางสังคมที่ตามมาอย่างที่สามารถคาดเดาได้ เช่น จะมีคนสูญเสียหมดเนื้อหมดตัว เป็นหนี้เป็นสิน การทะเลาะเบาะแว้ง การทอดทิ้งลูกและครอบครัว รวมทั้งเกิดความรุนแรงถึงฆ่าตัวตาย การก่ออาชญากรรมปล้นชิงทรัพย์ชุกชุม ดังที่ได้เกิดขึ้นแล้วในหลายประเทศรวมทั้งในประเทศไทย ทำให้ผู้คนหมกมุ่นเล่นการพนัน ไม่อยากประกอบสัมมาอาชีพ”
“การพนันเป็นโรคชนิดหนึ่งที่เรียกว่า “โรคติดพนัน” เป็นโรคทางจิตที่เสพติดการพนัน มีคำกล่าวว่าฝีร้ายที่สุดคือผีพนัน เป็นการบ่อนทำลายอนาคตของเยาวชนและประชาชน เป็นหายนภัยอย่างร้ายแรงต่อประเทศชาติและต่ออนาคตของลูกหลานคนไทยทั้งปวง”
“3) ร่างกฎหมายสถานบันเทิงครบวงจรดังกล่าว ไม่สามารถสร้างเม็ดเงินทางเศรษฐกิจได้จริงตามที่กล่าวอ้าง ดังที่สำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (ศสช.) ชี้ไว้แล้วว่าการพนันไม่ได้มีผลต่อการเพิ่มขึ้นของ GDP เพราะการโอนย้ายเงินจากผู้เสียพนันไปให้ผู้ได้พนัน ปราศจากการผลิตสินค้าและบริการใดๆ เป็นเพียงการย้ายเงินจากมือคนหนึ่งไปสู่มืออีกคนหนึ่งเท่านั้น แต่ทำให้คนเล่นหรือเหยื่อหมดเนื้อหมดตัว มีแต่เจ้ามือและกลุ่มธุรกิจสีเทาที่ร่ำรวย”
“4) บ่อนกาสิโนและการพนันออนไลน์ คือ ที่รวมของการฉ้อฉลคดโกงทั้งปวง เช่น คอลเซ็นเตอร์ อาชญากรรมข้ามชาติ ยาเสพติด การค้ามนุษย์ การค้าประเวณี โจร นักตีชิงวิ่งราว และเป็นบ่อเกิดและแหล่งรวมอบายมุขทั้งปวง เป็นที่ฟอกเงินผิดกฎหมายทั้งหลายที่อยู่ไต้ดินให้กลายเป็นเงินที่อยู่บนดิน ดังนั้นการตรวจสอบทุจริตคอร์รัปชันจะทำได้ยากมากขึ้น”
“5) พรรคเพื่อไทยและพรรคร่วมรัฐบาลไม่เคยประกาศหาเสียงให้สัญญากับประชาชนว่า เมื่อได้อำนาจจัดตั้งรัฐบาลแล้ว จะเปิดบ่อนการพนันขึ้นในพระนครและเมืองใหญ่อีกหลายแห่ง จึงเป็นการกระทำของรัฐบาลที่ไม่ชอบธรรมในระบอบประชาธิปไตย เป็นการหลอกลวงเพื่อชิงอำนาจรัฐผ่านการเลือกตั้งได้แล้ว ก็ดำเนินการตามอำเภอใจ ผิดหลักการการเป็นรัฐบาลที่ชอบธรรมที่มาจากการเลือกตั้ง”
“ในท่ามกลางความเร่งร้อนของรัฐบาลและรัฐสภาที่ร่วมกันผลักดันร่างกฎหมายกาสิโนและการพนันออนไลน์เข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนฯนั้น มีประชาชนจากหลายภาคส่วนของสังคมออกมาคัดค้านร่างกฎหมายฉบับนี้ให้เห็นเป็นประจักษ์แล้วว่าประชาชนไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งกับกาสิโนและการพนันออนไลน์ และจะเพิ่มความเข้มชั้นในการต่อต้านยิ่งขึ้นไปเรื่อยๆ”
“สมควรที่รัฐบาลและรัฐสภาจะต้องรับฟัง มิเช่นนั้นแล้วท่านจะกลายผู้นำทรราชที่ไม่รับฟังเสียงคัดค้านของประชาชนที่เลือกพวกท่านขึ้นมาเป็นผู้แทนของประชาชน และจะหมดความชอบธรรมในการบริหารประเทศต่อไป”
วันที่ 9 เมษายนพรุ่งนี้คงได้รู้กันว่า พรรคร่วมรัฐบาล คือ พรรคภูมิใจไทย, พรรครวมไทยสร้างชาติ, พรรคกล้าธรรม และพรรคประชาชาติ จะสยบยอมอดีตนักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตร ที่ขู่ว่าจะขับพรรคการเมืองเหล่านี้ออกจากรัฐบาล หากไม่ยกมือเห็นชอบรับหลักการร่างกฎหมาย“การประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร”ในวาระแรก
จะได้รู้กันว่า “โจร”กับคนไทยที่รักชาติรักแผ่นดิน ใครจะใหญ่กว่ากัน ?!
รุ่งเรือง ปรีชากุล
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี