สหรัฐกำลังหน้ามืดด้วยความโลภโมโทสัน หลังเป็นฝ่ายเปิดฉากสงครามการค้าขึ้นมาก่อน
ทรัมป์คุยโวโอ้อวด ว่านโยบายนี้ ทำรายได้จากภาษีศุลกากรวันละเกือบ 2,000 ล้านดอลลาร์ และมีกว่า 70 ประเทศที่ต้องการเจรจากับอเมริกา “มาจูบก้น”
1. ปธน.ทรัมป์เปิดฉากถล่มจีนก่อนประเทศอื่นใด โดยเก็บภาษีนำเข้าเพิ่มมา 20%
จากนั้น เมื่อประกาศเก็บภาษีตอบโต้จากทั่วโลก เขาก็สั่งเก็บภาษีนำเข้าจากสินค้าจีนอีก 34%
เท่ากับว่า เก็บจากสินค้าจีนเพิ่ม 54%
จีนสู้ โดยประกาศตอบโต้ด้วยการเก็บภาษีนำเข้าจากสินค้าสหรัฐฯ 34% บ้าง
ทรัมป์เกทับบลัฟแหลก สั่งเก็บภาษีจากสินค้าจีนเพิ่มอีก 50%
รวมของเดิมแล้ว เท่ากับว่า สินค้าจีนถูกเรียกเก็บภาษีนำเข้า 104%
จีนจึงประกาศ เก็บภาษีตอบโต้อีก 50% รวมเป็น 84%
จากนั้น ประธานาธิบดีทรัมป์จึงเรียกเก็บภาษีนำเข้าจากสินค้าจีนอีกครั้งเป็น 125%
พร้อมกันนี้ ปธน.ทรัมป์ใช้วิธีประกาศชะลอมาตรการภาษีตอบโต้สำหรับประเทศที่ไม่ได้โต้ตอบตนเองออกไป 90 วัน โดยระหว่างนี้ให้ใช้อัตราขั้นต่ำ 10%
2. จากนั้น ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ให้สัมภาษณ์ว่า ตนมีความเคารพและชอบพอกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง เพราะเป็นเพื่อนกัน อย่างไรก็ตาม ทรัมป์กล่าวว่าจีนปฏิบัติต่อสหรัฐไม่ถูกต้อง และเอาเปรียบด้านการค้ากับสหรัฐ แต่ถึงกระนั้นก็ตามเขาก็กำลังพิจารณาที่พบปะพูดคุยกับประธานาธิบดีสี
ปธน.ทรัมป์กล่าวว่า ในที่สุดแล้ว เขาก็คงต้องพูดคุยและบรรลุข้อตกลงกับทุกประเทศรวมทั้งจีน และเชื่อว่าผู้นำของจีนเองก็ต้องการที่จะเปิดเจรจากับสหรัฐ แต่ไม่รู้ว่าจะเริ่มอย่างไร
เมื่อนักข่าวถามว่าทรัมป์คิดจะเก็บภาษีจีนเพิ่มขึ้นจาก 125% หรือไม่ ทรัมป์ตอบว่าเก็บสูงไปกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว
อย่างไรก็ตาม ทรัมป์ยืนยันว่าสหรัฐไม่ได้ยกเลิกมาตรการภาษีตอบโต้ แต่เขาเพียงชะลอการเก็บชั่วคราว 3 เดือนเพื่อการเจรจาต่อรองเท่านั้น และจะยังคงกำแพงภาษีพื้นฐาน
10% ที่ทุกชาติจะต้องจ่ายให้สหรัฐซึ่งส่วนนี้ไม่มีการชะลอ
3. WTO ไร้น้ำยา?
โฆษกกระทรวงพาณิชย์จีนประกาศว่า ภายใต้กลไกแก้ไขข้อพิพาทขององค์การการค้าโลก จีนยื่นฟ้องสหรัฐฯเก็บภาษีศุลกากรเพิ่มรอบล่าสุด มาตรการ “ภาษีเท่าเทียม” ตามที่สหรัฐระบุนั้นเป็นการฝ่าฝืนกฎเกณฑ์ขององค์การการค้าโลกอย่างร้ายแรง การเก็บภาษีเพิ่มอีก 50% เป็นการเพิ่มความผิดบนความผิด สะท้อนให้เห็นถึงธรรมชาติการกลั่นแกล้งโดยลำพังฝ่ายเดียวของมาตรการสหรัฐ
จีนจะพิทักษ์สิทธิประโยชน์ที่ชอบด้วยกฎหมายของตนอย่างถึงที่สุด รักษาระบบการค้าพหุภาคีและระเบียบเศรษฐกิจการค้าระหว่างประเทศอย่างถึงที่สุด
ขณะเดียวกัน คณะกรรมการภาษีศุลกากรของคณะรัฐมนตรีจีนก็ออกประกาศ ปรับอัตราการเก็บภาษีศุลกากรเพิ่มตามที่กำหนดไว้ในประกาศของคณะกรรมการภาษีศุลกากรแห่งคณะรัฐมนตรีจีนเกี่ยวกับการเก็บภาษีศุลกากรเพิ่มต่อสินค้านำเข้าที่มีแหล่งผลิตจากสหรัฐ (ประกาศ คกก. ภาษีศุลกากร ฉบับที่ 4 ปี 2025) อัตราการเก็บภาษีศุลกากรเพิ่มต่อสินค้านำเข้าที่มีแหล่งผลิตจากสหรัฐทั้งหมด จะปรับขึ้นจาก 34% เป็น 84%
น่าสงสัยว่า WTO มีน้ำยาทำอะไรสหรัฐได้หรือไม่?
4. ทางการจีนยังได้เผยแพร่สมุดปกขาว ว่าด้วยจุดยืนของจีนต่อบางประเด็นเกี่ยวกับความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและการค้าจีน-สหรัฐฯ
เนื้อหาบางส่วน ระบุว่า “ภาษีศุลกากรตอบโต้” ของสหรัฐฯ จะสร้างความเสียหายต่อผลประโยชน์ของสหรัฐฯ และผู้อื่น
การจัดเก็บภาษีศุลกากรตอบโต้ถือเป็นการละเมิดกฎเกณฑ์ขององค์การการค้าโลก (WTO) ซึ่งสร้างความเสียหายแก่ระบบการค้าพหุภาคี ลิดรอนสิทธิและผลประโยชน์อันชอบธรรมตามกฎหมายของฝ่ายต่างๆ ที่ได้รับผลกระทบ
รัฐบาลสหรัฐฯ ได้ตั้งกำแพงการค้าระดับสูงด้วยเป้าหมายต่างๆ เช่น “การปกป้องอุตสาหกรรม” และ “ความมั่นคงของชาติ” ซึ่งนอกจากไม่ช่วยแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจภายในประเทศของสหรัฐฯ แต่จะส่งผลเสียย้อนกลับและทำให้สหรัฐฯ ตกเป็นเหยื่อการกระทำผิดของตนเองในท้ายที่สุด
ภาษีศุลกากรตอบโต้จะเพิ่มแรงกดดันเงินเฟ้อในสหรัฐฯ กัดเซาะฐานอุตสาหกรรม ทวีความตื่นตระหนกในตลาดการเงิน และเพิ่มความเสี่ยงเศรษฐกิจสหรัฐฯ ถดถอย รวมถึงจะสร้างความเสียหายร้ายแรงแก่การค้าและการลงทุนทั่วโลก อาจจุดชนวนวิกฤตเศรษฐกิจและการเงินระดับโลก
“ประวัติศาสตร์ได้สอนบทเรียนซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าการกีดกันทางการค้าจะไม่ช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจภายในประเทศของประเทศใดประเทศหนึ่ง” สมุดปกขาวระบุ พร้อมเสริมว่าภาษีศุลกากรตอบโตจะส่งผลพวงอันมิอาจหลีกเลี่ยงต่อสหรัฐฯ เองและ
ผู้อื่นด้วย – (แปลโดยสำนักข่าวซินหัว)
5. ตาต่อตา ฟันต่อฟัน
รศ.วิภา อุตมฉันท์ ได้เผยแพร่บทความ เรื่อง “Tit for Tat…ตาต่อตาฟันต่อฟัน”
วิเคราะห์สถานการณ์สงครามการค้าที่ดุเดือดครั้งนี้ บางตอนระบุว่า
“...เดิมที อเมริกาก็เก็บภาษีสินค้านำเข้ากับทุกประเทศ 10% เป็นพื้นฐานอยู่แล้ว แต่ทันทีที่ชนะการเลือกตั้งก็ผนวกภาษีเพิ่มขึ้นอย่างน่าตกใจกับทุกประเทศที่ได้เปรียบดุลการค้ากับอเมริกาเข้าไปด้วย ไล่ตั้งแต่ 20% ไปจนถึง 46-54%
จีนซึ่งเป็นเป้าหมายสำคัญของทรัมป์โดนเข้าไปถึง 34% รวมกับภาษีที่ถูกเก็บอยู่ก่อน ก็ขึ้นไปอยู่ที่ 54%
รองลงมาคือ เวียดนาม 46% ไทยก็อยู่ในบัญชีกับเขาด้วยโดนเข้าไป 36%
การขึ้นภาษีแบบบ้าระห่ำของทรัมป์ ไม่ต่างจากวิธีการของพ่อค้าหน้าเลือดที่เอาแต่ได้
เขาชูแผ่นป้ายแผ่นใหญ่ ประกาศรายชื่อประเทศที่ตกเป็นเหยื่อต่อหน้ากล้องนับครั้งไม่ถ้วน เพื่อข่มขู่ประเทศที่อยู่ในบัญชีดำของเขาให้ตื่นตระหนก ยอมหมอบราบคาบแก้วเดินทาง
ไปเจรจากับนายทรัมป์ให้ลดภาษีให้ แลกกับผลประโยชน์อะไรก็ตามที่นายทรัมป์ต้องการ
แต่สำหรับประเทศจีน ซึ่งเป็นตลาดยักษ์ใหญ่ มีประเทศคู่ค้าทั่วโลก ขณะเดียวกันจีนยังเป็นแหล่งผลิตที่มีสายโซ่อุปทานครบครัน ย่อมรับไม่ได้กับการข่มขู่ของนายทรัมป์
จีนจึงโต้กลับการขึ้นภาษีของทรัมป์แบบตาต่อตา ฟันต่อฟันในเวลาอันรวดเร็ว
เริ่มต้นด้วยการเพิ่มภาษีสินค้านำเข้าทุกชนิดจากอเมริกา 34% ฟ้องร้องต่อองค์การการค้าโลกหรือ WTO ทำการตรวจสอบมาตรฐานสินค้านำเข้าจากอเมริกา ควบคุมวิสาหกิจอเมริกาในจีน 16 แห่ง ขึ้นบัญชีดำ 11 บริษัทที่ขายอาวุธให้ไต้หวัน หยุดการนำเข้าชั่วคราวกับสินค้าจำพวกสัตว์ปีกจากอเมริกา 3 แห่ง และผลิตภัณฑ์ข้าวสาลีจากอเมริกา 1 แห่ง
การตอบโต้อย่างทันควันของจีนครั้งนี้ ไม่เพียงเพราะไม่หวาดหวั่นต่อความบ้าคลั่งของนายทรัมป์เท่านั้น ที่สำคัญเพราะจีนในวันนี้ต่างกับจีนในยุคทรัมป์ 0.1 อย่างสิ้นเชิง
จีนกำลังเจริญเติบโตเข้มแข็งขึ้นทุกวัน เศรษฐกิจจีนอยู่ในช่วงยกระดับขึ้นสู่คุณภาพ
สี จิ้นผิง กล่าวต่อที่ประชุมด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มไร้ความกังวลใดๆ ว่า “พายุสามารถถล่มทลายบ่อน้ำเล็กๆ ได้ แต่ไม่สามารถทำอะไรกับมหาสมุทรได้”
ตรงข้ามกับอเมริกาที่เศรษฐกิจมีแนวโน้มจะเสื่อมถอยลงเรื่อยๆ
ขณะที่นโยบายขึ้นภาษีอย่างไร้เหตุผลของทรัมป์ สร้างปฏิกิริยาที่ไม่พอใจให้กับประเทศต่างๆ และในไม่ช้าอเมริกาก็จะเป็นหัวเดียวกระเทียมลีบ ถูกคัดค้านทั้งจาก
ชาวโลกและชาวอเมริกันเอง ที่ได้รับความเดือดร้อนเพราะถูกสถานการณ์บังคับให้ต้องบริโภคสินค้าทุกชนิดในราคาแพง...”
6. จีนจะเจ็บแค่ไหน ใครจะเจ็บกว่ากัน?
โจทย์น่าสงสัย คือ “หากถูกตัดขาดจากสหรัฐ #คนจีนตกงาน เศรษฐกิจจีล่มจมหรือไม่?”
รศ.ดร.อักษรศรี พานิชสาส์น วิเคราะห์น่าสนใจ ชี้ชัดว่า จีนไม่มีวันล่มจม
ในระยะสั้น การส่งออกของจีนย่อมจะถูกกระทบจากมาตรการภาษีสูงลิ่วของทรัมป์อย่างยากจะหลีกเลี่ยงได้
อย่างไรก็ดี จีนได้พยายามอย่างมาก เพื่อลดการพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ (เดิมเคยมีสัดส่วนสูงมากกว่า 20% ของการส่งออกจีน) ด้วยการเร่งกระจาย diversify ตลาดส่งออกไปยังภูมิภาคอื่นๆ อย่างต่อเนื่อง เช่น ประเทศในอาเซียน ตะวันออกกลาง และละตินอเมริกา
หากทรัมป์กีดกันการค้าจีนอย่างหนัก จนทำให้จีนไม่สามารถส่งออกไปสหรัฐได้อีกต่อไป ย่อมจะกระทบการจ้างงานในจีน โดยเฉพาะในมณฑลที่เป็นฐานผลิตเพื่อการส่งออกของจีน และกระทบรายได้ของคนงานจีน อย่างไรก็ดี ผลกระทบจะแตกต่างกันไปในแต่ละอุตสาหกรรมและแต่ละมณฑล
ในการแก้ปัญหาและเยียวยาแรงงานเหล่านี้ รัฐบาลจีนจำเป็นต้องใช้งบประมาณมหาศาลในการ“รักษาเสถียรภาพ” เพื่อไม่ให้ลุกลามกลายเป็นปัญหาความไม่สงบทางสังคม
“..หากพิจารณาจากมุมภูมิรัฐศาสตร์ ในยุคทรัมป์ป่วนโลก สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้กระทบจีนเพียงประเทศเดียว เมื่อวันที่ 2 เมษายนที่ผ่านมา ทรัมป์ประกาศ#วันปลดปล่อยอเมริกา ด้วยการขึ้นภาษีกับ 180 ประเทศทั่วโลก โดยเฉพาะการขึ้นภาษีสูงลิ่วกับประเทศในอาเซียน จึงเปรียบเสมือนเป็น #วันผลักเพื่อนออกจากอเมริกา ให้ต้องมองหาที่พึ่งใหม่ เนื่องจากหลายประเทศที่เป็นพันธมิตร/เคยพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ ต้องถูกกระทบจากภาษีทรัมป์อย่างหนักหน่วง หลายฝ่ายมองว่า นี่คือการโดดเดี่ยวตัวเองของอเมริกา
การเดินเกมพลาดของทรัมป์ที่หมกมุ่นกับการทำเพื่อผลประโยชน์ของสหรัฐฯ แบบไม่สนเพื่อน ไม่แคร์ใคร จึงอาจจะเป็น #โอกาสของจีน ในการใช้จังหวะเวลานี้ เพื่อแสดงบทบาทนำในการสร้างเครือข่าย/รวมพลังประเทศในอาเซียนและเอเชียที่ถูกกระทบจากภาษีทรัมป์หันมาค้าขายกันเองให้มากขึ้น
..บทวิเคราะห์ของนิตยสาร The Economist ในประเด็น “อเมริกาจะทำให้จีนกลับมายิ่งใหญ่ขึ้นอีกครั้ง”และขึ้นรูปหน้าปก (ฉบับวันที่ 5-11 เมษายน 2025) ด้วยภาพหมวกที่เขียนว่า MAKE CHINA GREAT AGAIN พร้อมวิเคราะห์ว่า “How America could end up making China great again : A big beautiful opportunity” เพื่ออธิบายว่า “ทรัมป์ได้สร้างโอกาสอันยิ่งใหญ่และสวยงามให้กับจีนได้อย่างไร”
The Economist วิเคราะห์อย่างน่าสนใจว่า “ในขณะที่ โดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศใช้มาตรการภาษีศุลกากร และรัฐบาลของทรัมป์คุยโอ่ถึงความแข็งแกร่งของพันธมิตรทางทหารในเอเชีย แต่ในความเป็นจริง MAGA ของทรัมป์ที่พยายามกดดันผู้นำจีน กลับกลายเป็นการสร้างโอกาสให้จีนได้วาดแผนที่ภูมิรัฐศาสตร์ของเอเชียขึ้นมาใหม่ เพื่อ
เอื้อประโยชน์กับจีน”
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี