เมื่อวันพุธที่ ๙ ที่ผ่านมา สถานเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย เปิดเผยแถลงการณ์ของ แทมมี่ บรูซ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ในกรณีที่ศาลพิษณุโลกออกหมายจับ ดร.พอล แซมบอร์ส อาจารย์ประจำสถานประชาคมอาเซียน คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร ในข้อหาความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๑๒ และ พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ฯโดยมีกองทัพภาคที่ ๓ เป็นผู้แจ้งความร้องทุกข์โดยเนื้อหาของแถลงการณ์มีใจความว่า........
“สหรัฐอเมริการู้สึกตกใจต่อการจับกุม นายพอล แซมเบอร์ส พลเมืองชาวอเมริกัน ในประเทศไทย ด้วยข้อหาความผิดทางอาญาฐานหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ และพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ และเรากำลังติดตามสถานการณ์นี้อย่างใกล้ชิด กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ให้ความสำคัญกับการช่วยเหลือพลเมืองอเมริกันในต่างประเทศอย่างจริงจัง และเรากำลังติดต่อกับทางการไทยเกี่ยวกับกรณีนี้
กรณีนี้ตอกย้ำถึงความกังวลที่มีมาอย่างยาวนานของเราต่อการใช้กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพในประเทศไทย เราขอเรียกร้องให้ทางการไทยเคารพเสรีภาพในการแสดงออก และให้แน่ใจว่ากฎหมายจะไม่ถูกใช้เพื่อปิดกั้นการแสดงออกที่ได้รับอนุญาต ในฐานะพันธมิตรของประเทศไทยตาม
สนธิสัญญา เราจะติดตามประเด็นนี้อย่างใกล้ชิดและสนับสนุนการปฏิบัติที่เป็นธรรมต่อนายพอล
แซมเบอร์ส
เจ้าหน้าที่กงสุลของสถานเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ในกรุงเทพฯ กำลังให้ความช่วยเหลือด้านกงสุลที่เหมาะสมทั้งหมดแก่นายพอล แซมเบอร์ส เราได้ร้องขอให้สามารถเข้าพบนายพอล แซมเบอร์สเพื่อให้แน่ใจว่าเขามีความเป็นอยู่ที่ดีและเพื่อให้การสนับสนุนที่จำเป็น”
แถลงการณ์ดังกล่าวทำให้ผมรู้สึกแปลกใจที่สหรัฐฯ เรียกร้องให้ชาติอื่น...เคารพเสรีภาพในการแสดงออก...แต่ตัวเองกลับไม่เคารพเสรีภาพในการแสดงออกจากคนอื่น เพราะเมื่อปลายเดือนที่แล้ว นายมาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ได้สั่งทูตที่ประจำอยู่ตามประเทศต่างๆ ตรวจสอบประวัติการใช้โซเซียลมีเดียของผู้สมัครวีซ่านักเรียนและวีซ่าประเภทอื่นๆ ที่จะเดินทางเข้ามาสหรัฐฯ ว่าได้เคยมีการวิพากษ์วิจารณ์สหรัฐฯ และอิสราเอลหรือไม่
ความพยายามที่จะปฏิเสธวีซ่าของผู้ต้องสงสัยที่มีการกระทำดังกล่าวเพื่อห้ามมิให้เข้าประเทศสหรัฐฯ เริ่มขึ้นทันทีหลังจากที่ทรัมป์ ลงนามคำสั่งผู้บริหาร (Executive Order) เพื่อเริ่มเนรเทศพลเมืองต่างชาติที่มีทัศนคติที่ไม่เป็นมิตรต่อพลเมือง วัฒนธรรม รัฐบาล สถาบัน และหลักการพื้นฐานของอเมริกา
โดยนายรูบิโอรับลูกเจ้านายทันที ด้วยการสั่งให้เจ้าหน้าที่กงสุลผู้มีหน้าที่พิจารณาการออกวีซ่าให้กับผู้ที่จะเดินเข้าสหรัฐฯ ต้องส่งข้อมูลผู้ขอวีซ่าไปยังหน่วยป้องกันการฉ้อฉล (fraud prevention unit) ของสถานทูตหรือกงสุล เพื่อตรวจสอบประวัติการใช้โซเซียลมีเดียของผู้ขอวีซ่าอีกชั้นหนึ่งในการคัดกรองผู้สมัคร
นับตั้งแต่ทรัมป์รับตำแหน่งประธานาธิบดี นายรูบิโอได้เซ็นเพิกถอนวีซ่ามากกว่า ๓๐๐ ใบ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วเป็นวีซ่าของนักศึกษาที่มีส่วนร่วมในการชุมนุมประท้วงในมหาวิทยาลัย เพื่อต่อต้านปฏิบัติการทหารของอิสราเอลในฉนวนกาซา รูบิโอ บอกว่า ตั้งแต่ปลายเดือนมกราคม ที่ผ่านมา เขาต้องเซ็นจดหมายเพิกถอนวีซ่าทุกวัน โดยหลังจาก
ลงนามในจดหมายแล้ว กระทรวงต่างประเทศจะส่งเรื่องไปยังกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิเพื่อดำเนินการกักขังพลเมืองต่างชาติที่ถูกเพิกถอนวีซ่า ไม่เว้นแม้แต่ผู้ที่มีสิทธิพำนักอาศัยอย่างถาวรในสหรัฐฯ หรือที่เรียกกันทั่วว่าผู้ถือกรีนการ์ด (green card)
เช่น นายมาห์มูด คาลิล (Mahmoud Khalil) ผู้ซึ่งพึ่งจบปริญญาโทจากมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย นายคาลิล วัย ๓๐ เกิดในซีเรีย แต่ได้แต่งงานกับพลเมืองอเมริกัน จึงได้กรีนการ์ด หรือ ยุนซอ จุง (Yunseo Chung) วัย ๒๑ นักศึกษาระดับปริญญาตรีมหาวิทยาลัยเดียวกัน ซึ่งเกิดที่เกาหลีใต้ แต่ก็อาศัยอยู่ในสหรัฐฯ มาตั้งแต่อายุ ๗ ขวบ จนได้กรีนการ์ด ทั้งสองคน ถูกนายรูบิโอเพิกถอนกรีนการ์ดหรือสถานะการพำนักถาวรในสหรัฐฯ และเมื่อเร็วๆ นี้ เจ้าหน้าที่ของรัฐบาลกลางจำนวนหลายคนแต่งกายชุดดำ บางคนก็สวมหน้ากากได้เข้าไปจู่โจมคว้าตัว Rumeysa Ozturk นักศึกษามหาวิทยาลัยทัฟส์ ชาวตุรกี กลางถนนที่เมือง Somerville รัฐแมสซาชูเซตส์ และพาไปศูนย์กักกัน โดยเธอได้ถูกเพิกถอนวีซ่านักเรียนด้วยข้อหาที่เคยเขียนเรียงความให้กับหนังสือพิมพ์ของมหาวิทยาลัยทัฟส์เพื่อเรียกร้องให้มหาวิทยาลัยสนับสนุนสิทธิของชาวปาเลสไตน์และถอนการลงทุนจากอิสราเอล
และเมื่อต้นเดือนนี้ นายออสการ์ อาเรียส (Oscar Arias) อดีตประธานาธิบดีคอสตาริกา ได้ออกมาบอกกับผู้สื่อข่าวว่ารัฐบาลสหรัฐฯ ได้ส่งอีเมลถึงเขาโดยบอกว่ากำลังจะระงับวีซ่าในหนังสือเดินทางที่อนุญาตให้เขาเข้าสหรัฐฯ ได้ โดยเมื่อหลายอาทิตย์ก่อน นายอาเรียส ผู้เคยได้รับรางวัลโนเบิลสาขาสันติภาพ ในปี ๒๕๓๐ ได้โพสต์ข้อความในโซเซียลมีเดียว่าทรัมป์ทำตัวเหมือน “จักรพรรดิโรมัน”
โดยเมื่อกลางเดือนที่แล้ว นายรูบิโอ ที่พ่อแม่ของเขาเป็นผู้อพยพจากประเทศคิวบา แล้วมาทำงานเป็นบาร์เทนเดอร์และแคชเชียร์ในร้านซูเปอร์มาร์เก็ตที่อเมริกาตั้งแต่เขายังไม่เกิด ได้ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้กับสถานีข่าว CBS ว่า...เราไม่ต้องการให้คนที่อยู่ในสหรัฐฯ ที่กำลังจะก่ออาชญากรรมและมีพฤติกรรมบ่อนเซาะทำลายความมั่นคงของชาติหรือความปลอดภัยของสาธารณะ และมันก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ง่ายมาก ในกรณีของคนที่มาที่นี่ในฐานะแขก ที่เราอนุญาตให้มา นั้นคือวีซ่า”
รูบิโอ ยังทิ้งท้ายไว้ด้วยว่า....ผมสนับสนุนให้ทุกประเทศทำเช่นนี้ เพราะผมคิดว่ามันเป็นเรื่องที่ไม่เข้าท่าเลยที่จะเชิญนักเรียนเข้ามาในประเทศ เข้ามาในมหาวิทยาลัยของคุณ แล้วมาเซาะกร่อนทำลายความมั่นคงประเทศของคุณ.....
ครับ คำถามง่ายๆ สำหรับแทมมี่ บรูช โฆษกกระทรวงผ่านไปยังนายมาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ว่า....แล้ว มันน่าตกใจตรงไหนที่กองทัพภาคที่ ๓ เป็นผู้แจ้ง
ความร้องทุกข์ ดร.พอล แซมบอร์ส ด้วยเหตุผลและหลักการเดียวกันกับคำสั่งผู้บริหารของทรัมป์ ที่เนรเทศพลเมืองต่างชาติที่มีทัศนคติที่ไม่เป็นมิตรต่อพลเมือง วัฒนธรรม รัฐบาล สถาบัน และหลักการพื้นฐานของไทย
ดร.ธิติ สุวรรณทัต
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี