เข้าใจว่า รัฐมนตรีกระทรวงการคลัง กับ ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร กำลังพล่านอยู่ในอเมริกาเหมือน ไก่ถูกสับหัว คือ เซไปทางโน้นที ทางนี้ที เนื่องจากรัฐบาลไทย ไม่มียุทธศาสตร์ในการเจรจา เลยไม่รู้ว่าจะได้พูดจาประเด็นไหนกับใครบ้าง
นายกฯแพทองธาร ตั้งใจจะนัดหมายล่วงหน้า โดยโทรศัพท์ไปหาประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ก็ไม่รับสายเจ้าหน้าที่ทำเนียบขาว คงคิดว่าเป็น AI โทร.เข้าไป เลยไม่รับสาย เพราะ ปธน.ทรัมป์ไม่คุยกับไอแพด
เมื่อนัดหมายล่วงหน้าไม่ได้ ก็ส่ง รมต.คลังดุ่ยๆไปอเมริกา ด้วยความหวังว่าบริษัทประชาสัมพันธ์และล็อบบี้ยิสต์ ที่นายใหญ่เคยจ้างหลายร้อยล้านบาท ในสมัยพรรคไทยรักไทยที่ยังไม่ตาย พอช่วยแนะนำได้บ้าง
เห็นพูดกันว่า หากเจรจากับกระทรวงการค้าสหรัฐไม่ได้ ก็จะหาทางเจรจากับเกษตรกรอเมริกัน โดยหวังว่าเกษตรกรอเมริกัน จะส่งสารไปถึงรัฐบาลวอชิงตัน ให้ลดภาษีศุลกากรลงบ้าง เนื่องจากประเทศไทย ซื้อสินค้าเกษตรจากอเมริกา
ดังที่น.ส.แพทองธาร ออกแถลงการณ์ว่าประเทศไทย เตรียมเสนอซื้อเครื่องบิน พลังงาน สินค้าเกษตร จากสหรัฐฯเพิ่ม แลกกับไม่ขึ้นภาษี น.ส.แพทองธาร คงไม่รู้ว่าอเมริกาไม่ยอมขาย
เครื่องบินรบ F-35A ให้กองทัพอากาศไทย สหรัฐขายเฉพาะประเทศเด็กดีของอเมริกันเท่านั้น ส่วนสินค้าเกษตรนั้น ไทยไม่ทำตามคำขอสหรัฐมานานแล้ว เพราะกลัวความหายนะเกิดขึ้นกับเกษตรกรไทยโดยเฉพาะอย่างยิ่งเกษตรกรเลี้ยงหมู
นายกฯไทยต้องเข้าใจด้วยว่าการขึ้นภาษีศุลกากรครั้งใหญ่ของ ปธน.ทรัมป์นั้น ไม่ได้เกี่ยวข้องเฉพาะทางการค้าเท่านั้น แต่มันเกี่ยวพันกับความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ ที่สหรัฐเสียเปรียบจีนกับรัสเซียทุกด้าน เนื่องจากว่านโยบายของสหรัฐผีเข้าผีออกขึ้นอยู่ว่า พรรครีพับลิกันหรือพรรคเดโมแครตเป็นรัฐบาล เช่น กรณีสงครามยูเครน กับ ประเด็นขัดแย้งช่องแคบไต้หวัน และทะเลจีนใต้ ตลอดถึงการแย่งกันเป็นใหญ่ในวิกฤตการเมืองเมียนมา
สงครามยูเครน รัฐบาล ประธานาธิบดี โจ ไบเดน เป็นผู้ผลักดันให้ยูเครนทำสงครามกับรัสเซีย และตลอดเวลาสี่ปี รัฐบาลโจ ไบเดน สนับสนุนยูเครนสุดตัว รวมทั้งบีบคั้นแซงชั่นรัสเซียทุกด้าน
ถึงสมัย ปธน.ทรัมป์ เขาเอนเอียงไปทางรัสเซีย และกดดันให้ยูเครนยุติสงคราม พร้อมทั้งเรียกเงินชดเชยหลายแสนล้านดอลลาร์ ที่สหรัฐจ่ายให้ในสงครามสามปีกว่า ประเด็นไต้หวันก็เช่นกันสมัยรัฐบาลโจ ไบเดน สหรัฐสนับสนุนให้ไต้หวันเป็นอิสระจากจีนแผ่นดินใหญ่ โดยที่วอชิงตันรับประกันความปลอดภัยให้
มาถึงสมัย ปธน.ทรัมป์ประกาศว่า ประเทศใดที่กองทัพอเมริกัน รับประกันความปลอดภัยให้ ต้องจ่ายค่าคุ้มครองให้กับกองทัพสหรัฐ นั่นคือ นโยบายผีเข้าผีออกอเมริกา ซึ่งอาจมีคำถามว่าแล้วมันเกี่ยวอะไรกับเรื่อง สหรัฐขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากประเทศไทย 36%
คำตอบง่ายๆ คือ ปธน.ทรัมป์ เป็นพ่อค้าที่ใช้ทุกสถานการณ์สร้างเงื่อนไขเพื่อการต่อรอง ประเทศใดมีรัฐบาลรู้ทัน มีรัฐบาลมืออาชีพ ไม่ใช่รัฐบาลเด็กฝึกงาน เขาจึงมียุทธศาสตร์ต่อรองกับรัฐบาลวอชิงตัน ถึงแม้ ปธน.ข่มขู่ว่า “อย่าตอบโต้การขึ้นภาษีศุลกากรของสหรัฐ มิฉะนั้นต้องโดนมาตรการเพิ่มภาษีจนไม่มีปัญญาจ่ายถึงกับประเทศสลายได้”
เป็นที่น่าสนใจว่า ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรือ อาเซียน ประเทศฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย สิงคโปร์ ปธน. ทรัมป์ เรียกเก็บภาษีนำเข้าน้อยกว่าประเทศไทย ที่สหรัฐเรียกเก็บ 36% ในขณะที่สิงคโปร์แค่ 10% ส่วนมาเลเซียในฐานะประธานหมุนเวียนอาเซียน 24%
ในขณะเดียวกันชาติที่ใกล้ชิดเป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์กับจีน เช่น กัมพูชา 49% ลาว48% เมียนมา 44% ส่วนเวียดนาม ใช้นโยบายไผ่ลู่ลม คบกับทั้งจีนและอเมริกา แต่ทรัมป์ถือว่าจีนใช้เวียดนาม เป็นฐานผลิตสินค้าส่งไปขายอเมริกา จึงเรียกเก็บภาษีเวียดนาม 46%
เป็นที่น่าสังเกตว่า ในกลุ่มประเทศอาเซียนด้วยกัน มีทั้งที่ถูกเรียกเก็บภาษีจากสหรัฐมากกว่า และ น้อยกว่าประเทศไทย หลายประเทศเร่งรีบเจรจากับสหรัฐ เร็วกว่าประเทศไทยชนิดที่เรียกว่า ไม่เห็นฝุ่น
ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ โพสต์ข้อความผ่านโซเชียลมีเดีย ระบุว่า ได้โทรศัพท์พูดคุยกับโต เลิม เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม ซึ่งมีการยื่นข้อเสนอที่จะลดภาษีศุลกากรสำหรับสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ เหลือ 0% หากสามารถบรรลุข้อตกลงกับสหรัฐฯได้ ก็ถือเป็นความพยายามเพื่อหลีกเลี่ยงภาษีศุลกากรตอบโต้ ที่สหรัฐฯ กำหนดต่อสินค้าเวียดนามสูงถึง 46%
ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา โพสต์ข้อความบนเฟสบุคว่า ได้โทรศัพท์ติดต่อประธานาธิบดีทรัมป์ โดยเสนอลดภาษีนำเข้าจากอเมริกาเหลือ 5% เพื่อต่อรองให้สหรัฐลดภาษีนำเข้าจากกัมพูชาให้น้อยกว่า 49% ทางสหรัฐมีปฏิกิริยาอย่างไรนายกรัฐมนตรีกัมพูชาไม่ได้แจ้งให้ทราบ เพียงแต่แสดงให้เห็นว่าเวียดนามกับกัมพูชาล้ำหน้าประเทศไทยไปหลายขุม
นายอันวาร์ อิบราฮิม ในฐานะประธานหมุนเวียนอาเซียนกล่าวว่า ไม่มีความคิดตอบโต้การขึ้นภาษีศุลกากรของสหรัฐ แต่ใช้วิธีเจรจาในนามอาเซียน นายอันวาร์จึงได้ประสานงานกับสิงคโปร์ อินโดนีเซีย และ ฟิลิปปินส์ เพื่อเสนอเงื่อนไขต่อรองกับสหรัฐ นับเป็นพฤติกรรมประหลาดของประธานหมุนเวียนอาเซียน ที่เลือกเฉพาะชาติเด็กดีของอเมริกาไปเจรจาต่อรองกับรัฐบาล ปธน.ทรัมป์
นายอันวาร์ไม่เอ่ยถึง กัมพูชา ลาว เมียนมา ไทย และเวียดนาม ในนามอาเซียนสักคำ เพราะนายอันวาร์รู้ดีว่า กัมพูชา ลาว เมียนมา แนบแน่นกับจีนแผ่นดินใหญ่ ส่วนเวียดนามกับไทย เป็นประเทศรองรับผลิตภัณฑ์จากจีน เพื่อส่งต่อไปขายอเมริกา นายอันวาร์จึงถือว่า ตัวใครตัวมันนะ
สำหรับเมียนมา สหรัฐจะขึ้นภาษีกี่ร้อย% พลเอกมิน อ่อง หล่าย ก็ไม่สนใจ เพราะมีจีน รัสเซีย อินเดีย ประเทศเทศยักษ์ใหญ่
ให้ความอุปถัมภ์ค้ำชูอยู่แล้ว นอกจากนั้นยังมีประเทศไทยใช้โอกาสแผ่นดินไหวเปิดหน้าต่างทางการทูตให้มิน อ่อง หล่าย ได้มีปฏิสัมพันธ์กับนานาชาติมากขึ้น
การที่ มิน อ่อง หล่าย ได้มาร่วมประชุมบิมสเทกกับอินเดีย บังกลาเทศ เนปาล ภูฏาน และประเทศไทย ถือเป็นโอกาสทอง ที่ มิน อ่อง หล่าย ได้เสริมสร้างความสัมพันธ์กับประเทศเหล่านั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ได้ทวิภาคีกับอินเดียและไทย ถือว่าหน้าต่างทางการทูตเมียนมา เปิดกว้างอย่างที่ประเทศเอเชียไกลออกไปคาดอย่างไม่ถึง
ส่วนรัฐบาลจีนแผ่นดินใหญ่ที่รู้ทันว่า ปธน.ทรัมป์ ขึ้นภาษีศุลกากร เป็นเกมส์ต่อรองโดยใช้อิสราเอลเป็นหน้าม้า เห็นได้จากที่สหรัฐประกาศขึ้นภาษีอิสราเอล 17% ซึ่งเป็นที่รู้กันทั่วโลกรู้ว่า ปธน.ทรัมป์ เก็บภาษีอิสราเอล 17% เพื่อป้องกันไม่ให้ทั่วโลกนินทาว่า มีหลายมาตรฐาน เนื่องจากว่ายิวกับอเมริกันเป็นพี่น้องกัน ที่ไม่สามารถบอกได้ว่าอเมริกันกับยิว ใครเป็นพี่ใครเป็นน้อง ก็ต้องเก็บภาษีฐานที่ได้ดุลการค้าอเมริกา
แต่ก็เปิดหน้ากากออกมา เมื่อเนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีอิสราเอล เดินทางไปพบทรัมป์ ในทำเนียบขาวถึงสองครั้งในห้วงเวลาหนึ่งอาทิตย์ พร้อมกับประกาศว่า กำลังพิจารณาลดภาษีนำเข้าอเมริกาเป็น 0% ซึ่งปธน.ทรัมป์พยักหน้าแล้วพูดว่า “เป็นการพิจาณาที่มีเหตุผล”
จีนแผ่นดินใหญ่เมื่อเห็นว่าทรัมป์กับเนทันยาฮู แสดงละคร ก็รู้ทันว่าการขู่เพื่อให้ต่อรอง ที่พูดว่า“อย่าคิดตอบโต้มาตรการขึ้นภาษีของ ทรัมป์” แต่ประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ผู้ทำสงครามการค้ากับอเมริกามายาวนาน ก็ประกาศทำสงครามการค้ากับสหรัฐ ทรัมป์ ขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีนมากเท่าไหร่ จีนก็ขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากอเมริกามากเท่านั้น และที่เจ็บแสบ กว่าตอบโต้ขึ้นภาษี คือรัฐบาลจีนสั่งห้ามส่งออกสินค้าที่ใช้ได้สองทางได้โดยเด็ดชาด
สินค้าที่ใช้ได้สองทาง (Dual-use items: DUI) คือ สินค้าที่สามารถประยุกต์ใช้ได้ทั้งทางด้านพาณิชย์และทางทหาร ซึ่งเมื่อผู้ประกอบการขายสินค้าดังกล่าวไปแล้ว ปลายทางสามารถใช้สินค้านั้นเพื่อการค้าทั่วไป แต่อาจสามารถไปเกี่ยวข้องกับอาวุธเคมี อาวุธชีวภาพ หรือ อาวุธนิวเคลียร์ได้ซึ่ง DUI แทรกซึมอยู่ในอุตสาหกรรมทั้งหลาย
แร่หายากเป็นส่วนสำคัญของสินค้าสองทาง คือใช้เชิงพาณิชย์ก็เป็นองค์ประกอบสำคัญของโทรศัพท์มือถือ ทรานซิสเตอร์ ตลอดถึงรถไฟฟ้าและอื่นๆ ในเวลาเดียวแร่หายากสามารถนำไปประยุกต์ใช้ทางทหาร เช่น เครื่องบินรบ ส่วนประกอบหัวรบอาวุธนิวเคลียร์ ส่วนประกอบสำคัญในขีปนาวุธ และ อื่นๆ
ปัจจุบัน จีนครอบครองแร่หายากถึง 70% ของปริมาณแร่หายากในโลกและจีนมีโรงงานสกัด และแปรรูปแร่หายากทันสมัยที่สุดในโลกซึ่งอุตสาหกรรมอาวุธ และ รถไฟฟ้าของอเมริกาต้องพึ่งพาแร่หายากจากจีน
นี่คือสงครามการค้าที่สหรัฐ ต้องเพลี่ยงพล้ำให้จีนในไม่ช้าไม่นาน ส่วนรัฐบาลไทยนอกจากไม่มีวิสัยทัศน์ไม่มีสติปัญญาไม่มีทรัพยากรใดๆ ที่สามารถใช้ต่อรองในสงครามการค้าของสหรัฐได้
รัฐบาลไทยจึงต้องยกบ่อนการพนันขึ้นมาเป็นวาระแห่งชาติ ดังที่ นายภูมิธรรมเวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวว่า รายได้จากกาสิโนนำมาใช้ต่อสู้กับการขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐ
สุทิน วรรณบวร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี