คนที่ติดตามข่าวอัตราภาษีศุลกากรที่สหรัฐฯ กำหนดใหม่ล่าสุด ต้องรู้แล้วว่าสหรัฐฯ ในยุคโดนัลด์ ทรัมป์ เรียกเก็บภาษีศุลกากรสินค้าไทยที่ส่งไปขายในสหรัฐฯ ด้วยอัตรา 36 เปอร์เซ็นต์
แต่ก่อนจะถึงวันที่สหรัฐฯ โดยทรัมป์ประกาศเรื่องนี้ คนไทยที่ตามข่าวของแพทองธาร ชินวัตร ผู้รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ก็ต้องรู้แล้วว่าแพทองธารเคยบอกว่า เมื่อทรัมป์ได้เป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ จะทำให้การค้าระหว่างไทยกับสหรัฐฯ จะดีมากยิ่งขึ้น
แต่สหรัฐฯ นักธุรกิจที่ค้าขายสินค้ากับสหรัฐฯ ต่างบอกว่าการกำหนดภาษีศุลกากรแบบบ้าเลือดโดยทรัมป์จะทำให้เกิดสภาพนรกแตกในเชิงเศรษฐกิจ แล้วก็ตั้งคำถามด้วยความงุนงงว่าทำไมแพทองธารจึงมองว่าทรัมป์มาแล้วการค้าขายของไทยกับสหรัฐฯ จะดีขึ้น หลายคนถามว่า แพทองธารเอาสมองส่วนไหนคิด หรือว่าแพทองธารสามารถพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาสได้
นักธุรกิจหลายคนถามว่าแพทองธารเข้าใจเรื่องภาษีศุลกากรหรือไม่ แล้วยังถามอีกว่า แพทองธารรู้ไหมว่าสหรัฐฯ เก็บภาษีพื้นฐานอัตรา 10 เปอร์เซ็นต์กับสินค้าทุกตัวที่ถูกส่งไปขายในสหรัฐฯ แล้วเรียกเก็บภาษีศุลกากรเพิ่มเติมอีกกับทุกประเทศที่ได้เปรียบดุลการค้ากับสหรัฐฯ (reciprocal tariff) โดยไทยถูกเรียกเก็บในอัตรา 36 เปอร์เซ็นต์ แต่ประเทศอื่นๆ ก็ถูกเรียกเก็บในอัตราแตกต่างกันไปตามแต่สหรัฐฯ จะกำหนด โดยการขึ้นภาษีพื้นฐานมีผลในวันที่ 5 เมษายน ตามเวลาของสหรัฐฯ ส่วนภาษี reciprocal tariff จะมีผลบังคับใช้วันที่ 9 เมษายน
อัตรา tariff แบบบ้าเลือดของสหร้ฐฯ ในครั้งนี้ถูกเรียกว่าสงครามการค้า และถูกคาดการณ์ว่าจะก่อให้เกิดปัญหาเศรษฐกิจโลกตามมา เพราะมันส่งผลสะเทือนไปพร้อมๆ กันทั้งโลก ผลสะเทือนนี้กระทบไปถึงตลาดการเงิน และตลาดสินค้าในภาคธุรกิจโดยพร้อมเพรียงกัน
คนที่มีสติปัญญาต่างบอกตรงกันว่านี่คือสงครามการค้า และสงครามนี้จะยิ่งเข้มข้นดุเดือดมากยิ่งขึ้น หากไม่สามารถหาทางบรรลุข้อตกลงร่วมกันที่จะทำให้ tariff ที่กำหนดโดยสหรัฐฯ ลดลงได้ ส่วนประเด็นการค้าเสรีที่โลกอยากจะได้เห็นนั้น ก็จะยิ่งเลือนลางออกไปทุกขณะ
ในขณะที่ทรัมป์ประกาศว่านี่คือการประกาศเอกราชอีกครั้งหนึ่งของสหรัฐฯ แต่โลกทั้งโลกมองตรงกันว่านี่คือการที่สหรัฐฯ ประกาศสงครามการค้ากับทุกประเทศที่ค้าขายกับสหรัฐฯ แต่ยกเว้นสำหรับแพทองธารเพียงคนเดียว เพราะเธอบอกว่าจะเป็นผลดีกับเศรษฐกิจไทย
นี่แสดงว่าแพทองธารไม่รู้เรื่องรู้ราวใดๆ ถึงพิษภัยของสงครามการค้าที่กำลังจะปะทุขึ้นบนโลกใบนี้
แต่เมื่อไทยถูกเก็บ tariff โดยสหรัฐฯ ในอัตรา 36 เปอร์เซ็นต์ แพทองธารบอกว่า งุนงงสงสัยว่าทำไมสหรัฐฯ เก็บในอัตราสูงถึงเพียงนี้กับไทย
อ้าว ก็ในเมื่อแพทองธารเคยบอกว่าทรัมป์มาแล้วการค้าขายไทยกับสหรัฐฯ จะดีงาม แล้วทำไมเธอจึงสงสัยเรื่องกำแพงภาษีศุลกากรที่สหรัฐฯ ตั้งกับสินค้าไทย สรุปว่าเธอไม่เห็นว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องดีหรอกหรือ หรือว่าตอนแรกนั้นเธอคิดว่าสหรัฐฯ คงเก็บจากไทยเพียง 2-3 เปอร์เซ็นต์ หรือว่าเธอได้ hotline ไปหารือกับทรัมป์ไว้ก่อนหน้านี้แล้ว แล้วเธอได้รับสัญญาจากทรัมป์มาก่อนหรืออย่างไรว่า สหรัฐฯ จะไม่เก็บ tariff กับสินค้าไทย เพราะเห็นแก่หน้าของเธอ ในฐานะที่เธอเป็นนายกรัฐมนตรีอ่อนหัด ไม่มีไพ่อะไรอยู่ในมือ และไม่น่าจะมีความสามารถในการพูดคุยเรื่องใหญ่โตขนาดนี้
ขอย้ำว่านักธุรกิจทุกคนบอกตรงกันว่าเมื่อทราบอัตรา tariff ที่ทรัมป์เรียกเก็บจากไทยแล้วเกือบจะเป็นลมสิ้นสติล้มทั้งยืน แต่ปรากฏว่าแพทองธารยังคงบอกว่าไม่มีปัญหา ไม่มีปัญหา ไม่มีกังวลใจ
หลายคนก็เลยสงสัยว่า หรือแพทองธารส่งทักษิณ ชินวัตร แอบไปเจรจากับทรัมป์ แล้วได้รับคำตอบ คำสัญญาใดๆ จากทรัมป์มาแล้ว แต่เมื่อดูภาพความจริง ก็พบว่าทรัมป์ไม่ได้เจรจากับไทยส่วนกระทรวงพาณิชย์ โดยพิชัย นริพทะพันธ์ุ ก็ออกมายอมรับว่าพยายามขอเจรจากับสหรัฐฯ แต่ไม่มีใครรับนัด ไม่มีใครคุยด้วย ทั้งนี้ พิชัยบอกว่าตกใจมากเมื่อเห็นอัตรา tariff ที่สหรัฐฯ เก็บจากไทย
มีคำถามอีกว่าแพทองธารรู้หรือไม่ว่าทรัมป์ได้ลงนามปิดคำสั่งเดิมที่เคยอนุญาตให้สินค้าต่างประเทศที่ส่งไปขายในสหรัฐฯ ที่มีมูลค่าไม่เกิน 800 ดอลลาร์สหรัฐฯ ไม่ต้องเสีย tariff กฎดังกล่าวคือ de minimise
สำหรับแพทองธารแล้ว มีคำพูดติดปากของเธอคือ ไม่มีปัญหาอะไร เราเจรจากันได้ แต่ถามว่าเธอจะเอาปัญญาอะไรไปเจรจากับทรัมป์ ถามอีกที่ว่าแพทองธารมีปัญญาเจรจากับทรัมป์หรือ เธอจะเอาอะไรไปต่อรอง แล้วเธอคิดหรือว่าทรัมป์จะเจรจากับเธอ
แพทองธารรู้ไหมว่าสหรัฐฯ คือตลาดใหญ่ที่สำคัญที่สุดของสินค้าไทย โดยดูจากตัวเลขการค้าที่ไทยส่งสินค้าออกไปยังสหรัฐฯ ในปี 2567 มีมูลค่า 5.49 หมื่นล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 18.3 เปอร์เซ็นต์ของมูลค่าการส่งสินค้าออกทั้งหมดของไทยไปยังต่างประเทศ
แพทองธารรู้ไหมว่าไทยเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ มากกว่า 3.6 หมื่นล้านดอลลาร์ ย้ำว่าแพทองธารเคยรู้ไหม
คำถามที่น่าสนใจคือทำไมทรัมป์ประกาศว่าจริงๆ แล้วจะเก็บภาษี tariff กับไทยในอัตรา 72 เปอร์เซ็นต์ แต่ยังใจดีกับไทยโดยลดให้เหลือ 36 เปอร์เซ็นต์ อันที่จริงแพทองธารต้อง hotline ไปหาทรัมป์แล้วถามตรงๆ เลยว่า ลุงทรัมป์คิด tariff กับไทยตามตัวเลขมั่วๆ นั้นได้อย่างไร ลุงทรัมป์เข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า หรือนี่คือแผนของลุงที่จะทำให้หลานแพทองธารต้องเข้าไปขอเจรจาด้วยอย่างเป็นการด่วน
เมื่อนักข่าวถามแพทองธารว่า จะแก้ปัญหานี้อย่างไร จะเจรจาขอลด tariff ให้เหลือกี่เปอร์เซ็นต์ แพทองธารตอบแค่เพียงว่า ไม่มีปัญหา มีทางออกแล้วแต่ยังตอบไม่ได้ เพราะเป็นรายละเอียด
เฮ้ย! เธอตอบอะไรของเธอกันนี่ จนถึงขณะนี้ยังไม่สามารถตอบให้ชัดเจนได้อีกหรือ จะต้องรอรายละเอียดอะไรอีกหรือ ตกลงต้องรอรายละเอียด หรือไม่มีอะไรอยู่ในสมองของเธอกันแน่ แล้วที่เธอตอบ less for more, more for less มันคืออะไร อะไร less อะไร more ตอบแบบเลื่อนลอยเพ้อเจ้อมาก หาสาระสำคัญไม่เจอแม้แต่น้อย
แพทองธารยังคงบอกว่าไม่มีปัญหาใดๆ แม้โลกทั้งใบจะโกลาหลกับ tariff แบบบ้าคลั่งของทรัมป์ เมื่อเธอบอกว่ามันไม่มีปัญหา ก็จึงทำให้จนบัดนี้ยังไม่มีการบอกกล่าวเล่าความที่ชัดเจนกับประชาชนถึงแนวทางแก้ปัญหาใหญ่ประเด็นนี้
ประเทศไทยน่ารักแบบพิสดารเสมอ โดยเฉพาะในยามที่ประเทศมีนายกรัฐมนตรีบ้องตื้น ไม่รู้ร้อนรู้หนาว ไม่รู้เหนือรู้ใต้ ไม่รู้เรื่องรู้ราวใดๆ ไม่ว่าประเทศจะเผชิญวิกฤตการณ์อะไรก็ตาม แต่เมื่อนายกรัฐมนตรีบอกว่าไม่มีปัญหา เพราะมองไม่เห็นปัญหา หรือไม่มีปัญญารับรู้ว่าอะไรคือปัญหา บ้านเมืองก็จึงตกอยู่ในสภาวะใกล้โกลาหล แต่เมื่อมองไปที่ตัวนายกรัฐมนตรี ก็กลับเห็นว่ายังคงนิ่งเฉย แต่ไม่ใช่นิ่งเฉยเพราะมีความสุขุมลุ่มลึก แต่นิ่งเฉยเพราะไม่รู้อะไรเลย
“มันเหมือนกันว่า สมัยนี้มันยิ่ง ยิ่งเอ่ย มันต้องเป็น more for less, less for more มันไม่ได้เป็นเหมือนเดิมแล้วที่ว่าต้องแยะใส่กัน หรือว่าน้อยก็ต้องน้อยทั้งคู่ มันเป็นเรื่องที่ต้องต่อรองกันอย่างงี้ค่ะ”
แพทองธารเขาบอกไว้อย่างนี้นะคุณ ก็ต้องบอกว่าระดับสติปัญญาของแพทองธารนี่มันแสนสุดๆ สุดๆ แสน จริงๆ ถามจริงๆ เธอจะบอกอะไรมิทราบ รบกวนเธอช่วยอธิบายด้วยว่าเธอพูดอะไร เธอเข้าใจตัวเธอเองไหมว่าเธอพูดอะไร แต่บอกตรงๆ คนไทยทั้งประเทศไม่เข้าใจว่าเธอพูดอะไร อะไรคือ less อะไรคือ more แล้วตรงไหนต้อง more ตรงไหนต้อง less ต้องขอสารภาพว่าคำพูดของเธอมันลึกซึ้งมาก มากเสียจนหาคนเข้าใจไม่ได้สักคน
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี