คดีทุจริตเงินทอนวัด เป็นกลุ่มคดีที่สะท้านสะเทือนความรู้สึกของพุทธศาสนิกชนคนไทย
บางกรณี พระสงฆ์และเจ้าหน้าที่รัฐ เป็นคนทุจริต ได้กระทำการร่วมกัน ยิ่งเจ็บปวดหัวใจ
โดยเฉพาะบุคคลระดับ ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ 2 คน มีชื่อเข้าไปเกี่ยวข้องหลายสิบคดี ได้แก่ นายพนม และนายนพรัตน์
สำหรับนายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์ อดีต ผอ.พศ. ผู้ต้องหาคดีทุจริตเงินทอนวัดหลายคดี ได้หลบหนีไปต่างประเทศก่อนหน้านี้
1. เมื่อวันสงกรานต์ที่ผ่านมา 13 เมษายน 2568 นายสาโรจน์ พึงรำพรรณ เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เปิดเผยว่า เจ้าหน้าที่ US Marshals ได้จับกุมตัว นายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์ ผู้ต้องหาคดีทุจริตเงินทอนวัดได้ภายในโรงพยาบาลแห่งหนึ่งในรัฐเท็กซัส สหรัฐอเมริกา ตามคำร้องขอส่งผู้ร้ายข้ามแดนของทางการไทยแล้ว
ตามกระบวนหลังจากนี้ ทางการสหรัฐจะนำตัวนายนพรัตน์ขึ้นศาลในสหรัฐ เพื่อพิจารณาเรื่องการส่งผู้ร้ายข้ามแดน กลับมาดำเนินคดีในประเทศไทย
“นายนพรัตน์ยังมีสิทธิ์ที่จะต่อสู้คดี คาดเวลาจะใช้เวลาอีกหลายเดือน
ส่วนการรับตัวนายนพรัตน์กลับมายังประเทศไทย ป.ป.ช.จะมีการประสานงานผ่านทางอัยการสูงสุด (อสส.) เพื่อดำเนินการในขั้นตอนอีกครั้ง” – เลขาฯป.ป.ช.กล่าว
2. นายนพรัตน์ เป็นหนึ่งในผู้ต้องหารายสำคัญในคดีทุจริตเงินทอนวัด
ถูก ป.ป.ช.ชี้มูลความผิด และส่งสำนวนอัยการสูงสุด (อสส.) ฟ้องร้องดำเนินคดีกว่า 17 สำนวน
ในชั้นการไต่สวนของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ยังเหลืออีกอย่างน้อย 36 สำนวนที่ต้องดำเนินการไต่สวน จากทั้งหมด 47 สำนวน
กล่าวได้ว่า นายนพรัตน์ถือเป็นตัวแสบในคดีทุจริตเงินวัด!
ยิ่งกว่านั้น นายนพรัตน์ยังถูก ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดฐานมีพฤติการณ์ร่ำรวยผิดปกติประมาณ 575 ล้านบาท
คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีคำสั่งอายัดทรัพย์สินไว้เป็นการชั่วคราวแล้วจำนวน 176,032,978.79 บาท
ได้ส่งเรื่องให้อัยการ ดำเนินการฟ้องศาลให้มีคำพิพากษาหรือคำสั่งเพื่อขอให้ทรัพย์สินดังกล่าว ตกเป็นของแผ่นดินต่อไป
3. ตัวอย่าง คดีทุจริตเงินทอนวัด ที่นายนพรัตน์ถูกชี้มูลความผิด
ตัวอย่างคดีเหล่านี้ ล้วนแต่มีนายนพรัตน์ ร่วมกับพวก ทุจริตเงินทอนวัด (เจ้าตัวและพวกยังมีสิทธิต่อสู้คดีตามกฎหมายต่อไป)
3.1 กรณีร่วมกันทุจริตเงินอุดหนุนการบูรณปฏิสังขรณ์วัดและพัฒนาวัด ประจำปีงบประมาณ 2557 ของ พศ. ที่ได้จัดสรรให้วัดโพธิ์ทอง วัดตำหนัก (ภาวนาราม) และวัดจงกลณี จังหวัดพระนครศรีอยุธยา 3 สำนวนคดี
ข้อเท็จจริงจากการไต่สวนปรากฏว่า ในปี พ.ศ. 2556 นางสาวประนอม คงพิกุลผู้อำนวยการกองพุทธศาสนสถาน ได้ติดต่อให้พระครูปลัดวิสุทธิวัฒน์ (ไพโรจน์ บุญโสม) ซึ่งเป็นผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดคันลัด และเลขานุการเจ้าคณะอำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ ไปดำเนินการติดต่อพระหรือเจ้าอาวาสวัดที่รู้จักและมีความประสงค์จะขอรับเงินอุดหนุนการบูรณปฏิสังขรณ์วัดจากสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ให้มาดำเนินการจัดทำเอกสารคำขอรับเงินอุดหนุนพร้อมแนบเอกสารประกอบคำขอ
โดยมีเงื่อนไขว่าวัดที่ขอรับเงินอุดหนุนจะได้รับเงินอุดหนุนเพียงร้อยละ 10 ของเงินที่ได้รับเท่านั้น
ส่วนเงินอีกจำนวนร้อยละ 90 จะต้องส่งคืนให้กับสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติเพื่อนำไปใช้ในกิจการอย่างอื่นและนำไปสนับสนุนวัดในถิ่นทุรกันดารและวัดในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้
โดยวัดจะต้องเปิดบัญชีเงินฝากธนาคารใหม่ร่วมกับบุคคลที่ไว้วางใจ เพื่อความสะดวกในการรับโอนและเบิกถอนเงินคืนให้กับสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ
พระครูปลัดวิสุทธิวัฒน์ได้ติดต่อเจ้าอาวาสวัดต่างๆ ในจังหวัดพระนครศรีอยุธยาที่ประสงค์จะขอรับเงินอุดหนุนการบูรณปฏิสังขรณ์วัด ประกอบด้วย เจ้าอาวาสวัดโพธิ์ทอง โดยติดต่อผ่านพระครูเกษมวัฒนาภรณ์(วัฒนะ พิกุลทอง) เจ้าอาวาสวัดหงษ์ เจ้าอาวาสวัดตำหนัก (ภาวนาราม) และวัดจงกลณี โดยติดต่อผ่านพระมหาสมบัติ อาภากโร(สมบัติ ระสารักษ์) พระวัดสะตือ ซึ่งเป็นเลขานุการเจ้าคณะอำเภอท่าเรือ ให้จัดทำคำขอและยื่นเอกสารเกี่ยวกับการขอรับเงินอุดหนุนผ่านพระครูปลัดวิสุทธิวัฒน์ เพื่อนำไปมอบให้กับนางสาวประนอม
หลังจากนั้น นายนพรัตน์ จะเป็นผู้นำรายชื่อวัดไปส่งต่อให้นายวสวัตติ์ กิตติธีระสิทธิ์ หรือสงกรานต์ สาทาวงค์ ผู้อำนวยการส่วนบูรณะพัฒนาวัดและการศาสนสงเคราะห์ จัดทำบันทึกขออนุมัติการใช้จ่ายเงินประจำงวดเสนอนางสาวประนอม เพื่อเสนอไปยังนายนพรัตน์
นายนพรัตน์ ได้อนุมัติจ่ายเงินอุดหนุนการบูรณะและปฏิสังขรณ์วัด ทั้งที่วัดไม่ได้ยื่นแบบคำขอรับเงินอุดหนุนไปยังสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ โดยเสนอผ่านเจ้าคณะพระสังฆาธิการเจ้าสังกัดและเจ้าหน้าที่ฝ่ายบ้านเมืองตามลำดับ ตามหลักเกณฑ์สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติว่าด้วยการขอและการจัดสรรเงินอุดหนุนการบูรณปฏิสังขรณ์วัด ประจำปีงบประมาณ 2557 และภายหลังจากที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติได้เบิกจ่ายเงินอุดหนุนการบูรณปฏิสังขรณ์วัดและการพัฒนาวัดให้แก่วัดดังกล่าวแล้วนางสาวประนอม ได้โทรศัพท์แจ้งไปยังพระครูปลัดวิสุทธิวัฒน์ เพื่อแจ้งให้เจ้าอาวาสดำเนินการเบิกถอนเงินจากธนาคารตามจำนวนที่ได้รับการอุดหนุนจากสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติแล้วจัดส่งคืนให้แก่นางสาวประนอมตามเงื่อนไข
โดยพระครูปลัดวิสุทธิวัฒน์ พระครูเกษมวัฒนาภรณ์ และพระมหาสมบัติ อาภากโร ได้รับเงินส่วนแบ่งจากนางสาวประนอม เป็นค่าตอบแทนในการดำเนินการดังกล่าว จำนวนครั้งละประมาณ 5,000-10,000 บาท ดังนี้
1.วัดโพธิ์ทอง ได้รับเงินอุดหนุนตามบันทึกขออนุมัติการใช้จ่ายเงินประจำงวด ที่ บว. 0243 ลงวันที่ 21 ตุลาคม 2556 จำนวน 1,000,000 บาท แต่ได้รับเงินจริงจำนวน 90,000 บาท ส่วนที่เหลือจำนวน900,000 บาท พระครูเกษมวัฒนาภรณ์ไม่ได้นำไปมอบให้นางสาวประนอม ตามที่ตกลงกันไว้ แต่ได้นำเงินไปใช้ในการก่อสร้างภายในวัดหงษ์
2.วัดตำหนัก (ภาวนาราม) ได้รับเงินอุดหนุนตามบันทึกขออนุมัติการใช้จ่ายเงินประจำงวด ที่ บว. 0264 ลงวันที่ 13 พฤศจิกายน 2556 จำนวน 1,000,000 บาท แต่ได้รับเงินจริงจำนวน 100,000 บาท และส่งมอบเงินคืนให้นางสาวประนอม จำนวน 900,000 บาท
3. วัดจงกลณี ได้รับเงินอุดหนุนตามบันทึกขออนุมัติใช้จ่ายเงินประจำงวด ที่ บว. 0280 ลงวันที่ 26 พฤศจิกายน 2556 จำนวน 2,000,000 บาท และส่งมอบเงินคืนโดยนำเงินสดและแคชเชียร์เช็คสั่งจ่ายนางวรัญญู เพชรรัตน์ (พี่น้องร่วมบิดามารดากับนายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์)
จำนวน 1,600,000 บาท มอบให้แก่นางสาวประนอม
คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาแล้ว มีมติดังนี้
กรณีวัดโพธิ์ทอง
การกระทำของนายนพรัตน์ นางสาวประนอม และนายวสวัตติ์ กิตติธีระสิทธิ์ หรือสงกรานต์ สาทาวงค์ มีมูลความผิดทางอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147 มาตรา 151 มาตรา 157 และมาตรา 162 (1) (4) ประกอบมาตรา 83 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 123/1 (ปัจจุบันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 172) ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 และมีมูลความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง
กรณีวัดตำหนัก (ภาวนาราม)
การกระทําของนายนพรัตน์ นางสาวประนอม และนายวสวัตติ์ กิตติธีระสิทธิ์ หรือสงกรานต์ สาทาวงค์ มีมูลความผิดทางอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147 มาตรา 151 และมาตรา 157 ประกอบมาตรา 83 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 123/1 (ปัจจุบันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 มาตรา 172) ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 และมีมูลความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง
กรณีวัดจงกลณี
การกระทําของนายนพรัตน์ นางสาวประนอม และนายวสวัตติ์ กิตติธีระสิทธิ์ หรือสงกรานต์ สาทาวงค์ มีมูลความผิดทางอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147 มาตรา 151 และมาตรา 157 ประกอบมาตรา 83 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 123/1 (ปัจจุบันเป็นความผิดตาม
พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วย การป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 มาตรา 172) ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 และมีมูลความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง
3.2 กรณีร่วมกันทุจริตเงินอุดหนุนการบูรณปฏิสังขรณ์วัดและพัฒนาวัด ประจำปีงบประมาณ 2557 ของ พศ. ที่ได้จัดสรรให้วัดเพลง (กลางสวน) กรุงเทพมหานคร วัดใหญ่ จังหวัดสมุทรปราการ วัดเกาะแก้วอรุณคาม จังหวัดสระบุรี วัดห้วยจระเข้ จังหวัดนครปฐม และวัดกลางเหนือ จังหวัดสมุทรสงคราม 5 สำนวนคดี
ข้อเท็จจริงจากการไต่สวนปรากฏว่า สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติได้มีคำสั่งที่ 904/2556 ลงวันที่ 3 ตุลาคม 2556 แต่งตั้งคณะทำงานพิจารณาหลักเกณฑ์และการจัดสรรเงินอุดหนุนการบูรณปฏิสังขรณ์วัดและการพัฒนาวัด ประจำปีงบประมาณ 2557 มีหน้าที่พิจารณาหลักเกณฑ์และการจัดสรรงบประมาณเพื่อการบูรณะและปฏิสังขรณ์วัดทั่วไปและวัดที่ประสบวินาศภัย ประจำปีงบประมาณ 2557 ให้เป็นไปตามแผนปฏิบัติการ ซึ่งกำหนดไว้ในโครงการเงินอุดหนุนการบูรณปฏิสังขรณ์วัดและการพัฒนาวัด โดยมีนายนพรัตน์ เป็นที่ปรึกษา นางสาวประนอม ผู้อำนวยการกองพุทธศาสนสถาน เป็นกรรมการ และนายวสวัตติ์ กิตติธีระสิทธิ์ หรือสงกรานต์ สาทาวงค์ ผู้อำนวยการส่วนบูรณะพัฒนาวัดและการศาสนสงเคราะห์ เป็นกรรมการและเลขานุการ
แต่นายวสวัตติ์ กิตติธีระสิทธิ์ หรือสงกรานต์ สาทาวงค์ กลับจัดทำบันทึกขออนุมัติการใช้จ่ายเงินประจำงวดเสนอนางสาวประนอม คงพิกุล เพื่อเสนอไปยังนายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์ และนายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์ ได้อนุมัติเงินอุดหนุนการบูรณะ และปฏิสังขรณ์วัดทั่วไปและวัดที่ประสบวินาศภัย ดังนี้
วัดห้วยจระเข้ จังหวัดนครปฐม จำนวน 4,000,000 บาท ตามบันทึกขออนุมัติใช้จ่ายเงินประจำงวดที่ บว 0264 ลงวันที่ 13 พฤศจิกายน 2556
วัดใหญ่ จังหวัดสมุทรปราการ จำนวน 4,000,000 บาท ตามบันทึกขออนุมัติใช้จ่ายเงินประจำงวด ที่ บว 0287 ลงวันที่ 6 ธันวาคม 2556
วัดเพลง (กลางสวน) กรุงเทพมหานคร จำนวน 5,000,000 บาท
วัดเกาะแก้วอรุณคาม จังหวัดสระบุรี จำนวน 5,000,000 บาท ตามบันทึกขออนุมัติใช้จ่ายเงินประจำงวด ที่ บว 0296 ลงวันที่ 13 ธันวาคม 2556
วัดกลางเหนือ จังหวัดสมุทรสงคราม จำนวน 10,000,000 บาท ตามบันทึกขออนุมัติใช้จ่ายเงินประจำงวด ที่ บว 0297 ลงวันที่ 20 ธันวาคม 2556
โดยที่วัดดังกล่าว ไม่เคยมีคำขอรับเงินอุดหนุน และไม่ได้ประสบวินาศภัยแต่อย่างใด
การกระทำของนายนพรัตน์ กับพวก เป็นการอนุมัติเงินอุดหนุนการบูรณะและปฏิสังขรณ์วัดที่ไม่ชอบด้วยหลักเกณฑ์สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ว่าด้วยการขอและการจัดสรรเงินอุดหนุนการบูรณปฏิสังขรณ์วัด ประจำปีงบประมาณ 2557 ทำให้เกิดความเสียหายต่อสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ แม้ว่าภายหลังจากที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติโอนเงินเข้าบัญชีของวัด และวัดได้เบิกถอนเงินมาใช้ในการบูรณปฏิสังขรณ์วัด โดยไม่ปรากฏว่ามีเจ้าหน้าที่ของรัฐเรียกรับเงินหรือขอเงินคืนจากงบประมาณที่ได้รับก็ตาม
คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาแล้ว มีมติแต่ละสำนวนคดี ดังนี้
1. การกระทำของนายนพรัตน์ มีมูลความผิดทางอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 และมาตรา 157 ประกอบมาตรา 83 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 123/1 (ปัจจุบันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและ
ปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 172) ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 และมีมูลความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง
2. การกระทำของนางสาวประนอม และนายวสวัตติ์ กิตติธีระสิทธิ์ หรือสงกรานต์ สาทาวงค์ มีมูลความผิดทางอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 ประกอบมาตรา 86 และมาตรา 157 ประกอบมาตรา 83 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 123/1 (ปัจจุบันเป็นความผิดตาม
พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 172) ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 และมีมูลความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง
แสบมั้ยล่ะ
รอติดตามว่าจะได้ตัวนายนพรัตน์กลับมาดำเนินคดีที่ประเทศไทยหรือไม่? เมื่อใด? เจ้าตัวยังมีสิทธิต่อสู้คดีตามกฎหมายต่อไป
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี