ในช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมา พรรคประชาชนซึ่งไม่อาจหาคะแนนนิยมได้จากหัวหน้าพรรคคนปัจจุบัน คือ“นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ” ถึงกับต้องลากเอา“นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์” “แดดดี๊” ของบรรดาแฟนคลับกลับร่วมเล่นน้ำสงกรานต์
นายพิธา กล่าวถึงเสถียรภาพรัฐบาล หลังเทศกาลสงกรานต์ ว่า... ตนติดตามการเมืองไทยมาเป็นเวลานาน ตั้งแต่ก่อนมาเป็น สส. ก่อนมาเล่นการเมือง เห็นว่า แต่ละพรรคร่วมรัฐบาลในขณะนี้ มีความขัดแย้งกันมากว่า 10 ปี ทุกคนคงยังจำวลีเด็ดตอนที่เขาทะเลาะกันได้ แค่รอเวลาว่าจะปะทุเมื่อไหร่ ตนจึงอยากบอกไปถึงผู้นำรัฐบาล และคณะรัฐมนตรี ว่า ให้มีสมาธิ มีความเป็นตัวของตัวเอง คิดไปข้างหน้า คิดเรื่องประชาชน อย่าให้เกมการเมือง หรือความขัดแย้งภายในรัฐบาล มากกว่าผลลัพธ์ที่ประชาชนจะได้สัดส่วนต้องเท่ากัน
เมื่อถามว่า สถานการณ์ขณะนี้ ดูเหมือนจะแตกกันแล้ว มองว่าพรรคร่วมรัฐบาลจะอยู่กันยืดหรือไม่ นายณัฐพงษ์ ระบุว่า เรื่องนี้มีการสื่อสารกันมาก่อนหน้านี้นานแล้วว่า อยากให้รัฐบาล โดยเฉพาะพรรคเพื่อไทย และนายกรัฐมนตรี ควรควบคุมเสียงในรัฐบาลให้ได้ เพราะยิ่งมีปัญหาเรื่องความไม่แน่นอน ประชาชนจะยิ่งขาดความเชื่อมั่น ตอนนี้ก็มีเรื่องสงครามการค้าเข้ามาเกี่ยวด้วยมีโอกาสหลายๆ อย่างที่สูญเสียไป เชื่อว่าสิ่งสำคัญในตอนนี้ คือต้องทำให้นักลงทุน และประชาชนมีความเชื่อมั่น เพื่อเดินหน้าแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ
ตัดสำนวนหล่อๆ ออกไปทั้งหมด เหลือแค่เนื้อที่ “เป็นสาระ” ก็คือ ข่าวความขัดแย้งในหมู่พรรครร่วมรัฐบาล นำมาซึ่งความรู้สึกไม่เชื่อมั่นของนักลงทุนซึ่งจะส่งผลกระทบทางเศรษฐกิจที่ขณะนี้ก็เจอปัจจัยสำคัญ คือ สงครามการค้า รัฐบาลต้องเร่งสร้างความเชื่อมั่นและเดินหน้าแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจให้เร็วที่สุด
ถ้าจะถามว่า อะไรเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ความสัมพันธ์ในหมู่พรรคร่วมรัฐบาลดูไม่ “หวานสนิท” แบบ “วราวุธ ศิลปอาชา” กับคุณอาทักษิณ ถึงกับกล้ากล่าวกับสื่อว่า “ถ้านายใหญ่รอด นายกฯ รอด พวกเราก็รอด” พ้นจากบิดาผู้ล่วงลับ วราวุธคงกราบทักษิณเป็น “บรรพบุรุษ” คนสำคัญท่านหนึ่งไปแล้ว จึงแสดงตนเสมือนเป็น “สมุน” ที่ถึงขั้นเรียกทักษิณว่า “นายใหญ่” ด้อยค่าความเป็น“คนรุ่นใหม่ การศึกษาดี” เหลือแค่ “ขี้ข้าทักษิณอีกตัวหนึ่ง” ในความรู้สึกของผู้คน
ความจริงวราวุธจะเป็นอย่างไรนั้น เรื่องหนึ่ง แต่ “ความจริงในความรู้สึกของผู้คน” วราวุธเป็นเช่นนั้นไปแล้ว จึงน่าสนใจว่า นอกเหนือจากการ “กินบุญเก่าที่พ่อสร้างไว้ในจังหวัดสุพรรณบุรี” กับท่าที “พินอบพิเทาทักษิณ”แล้ว นายวราวุธ จะรักษาคะแนนนิยมให้แก่ตนและพรรคชาติไทยพัฒนาไว้ได้อย่างไร หรือสุดท้ายต้องอิงอาศัยบารมีทักษิณช่วย
ในขณะที่ “พรรคภูมิใจไทย” เป็นพรรคที่วางท่าทีแบบ “ตบจูบ” กับทักษิณมาเป็นระยะๆ ทุกเรื่องเริ่มด้วยตบแล้วจบด้วยจูบ ไม่ว่าคนเริ่มตบจะเป็นฝ่ายภูมิใจไทย หรือนายทักษิณ ชินวัตร ก็ตาม แต่ทักษิณ ผู้จัดการรัฐบาลด้วยการประกาศชัดเจนว่า “เป็นผู้ครอบครอง” ลูกสาว คือ“นางสาวแพทองธาร ชินวัตร” ไม่อาจ “ไม่มีพรรคภูมิใจไทยในพรรคร่วมรัฐบาลได้”
ไม่ใช่ว่า พรรคภูมิใจไทยมีเสียงเยอะ ทุกวันนี้ พรรคกล้าธรรม หรือจะเรียกให้สมบูรณ์ก็คือ พรรคกล้าธรรมนัส โดยร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า นั้น พร้อมเสียบอย่างเต็ม
รูปแบบ และนั่งว่าการในกระทรวงมหาดไทย แทนนายอนุทิน ชาญวีรกูล และพวกอยู่แล้ว เพียงแต่คุณสมบัติที่คลุมเครือของร้อยเอกธรรมนัส เป็นที่กังวลของทักษิณ ว่า จะทำให้ลูกสาวสุดที่รัก นายกรัฐมนตรีหญิงคนที่สองของประเทศไทยและของตระกูลชินวัตร ต้องร่วงลงจากเก้าอี้นายกฯ เหมือนนายเศรษฐา ทวีสิน ที่อุตริไปตั้ง “นายพิชิต ชื่นบาน” เป็นรัฐมนตรี จนเจอปัญหา “ไม่ซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์” เข้าไป
ภูมิใจไทยจึงพร้อมเสมอ ทั้งตบและจูบ บางครั้งตบมา ตบกลับ บางครั้งตบมาก็ผวาเข้าจูบ นี่คือลีลาของ “ภูมิใจไทย”
แต่ที่ทักษิณขาด “ภูมิใจไทย” ไม่ได้ ไม่ใช่เพราะติดใจใน “รสจูบ” แต่เพราะ “ภูมิใจไทย” กำลังเป็น “ตัวแทน” ของอำนาจอะไรบางอย่างในสังคมไทย ที่ไม่ใช่“พรรครวมไทยสร้างชาติ” ที่ก่อรูปขึ้นมาในแนวทางนั้นแล้ว
รวมไทยสร้างชาติ โดย นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค เลือกแนวทางการเมืองแบบ “พระเตมีย์ใบ้” สั่งสมขันติบารมีแบบพระโพธิสัตว์ แต่มวลชนที่เคยสนับสนุนนายพีระพันธุ์กับพรรค ในฐานะ “เงาของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา”หรือ “ดีเอ็นเอลุงตู่” เริ่มเหนื่อยหน่ายกับความเงียบ เงียบจนสงัด สงบจนวิเวกวังเวงวิโหวงเหวง
ขณะที่พรรคภูมิใจไทย “กล้าขัด” และ “กล้าตามใจ”ในทุกๆ สถานการณ์ มีความชัดเจน กล้าหาญ จนเริ่มชิงการเป็น “ตัวแทนฝ่ายอนุรักษ์นิยม” ไปจาก “รวมไทยสร้างชาติ”
แล้ว เพียงแต่ตัวนายอนุทินเลือกเล่นบท “ปลาไหล”ภาพลักษณ์จึงดู “กะล่อน” ไป ไม่นิ่งสงบ จบที่อินฟลูเอนเซอร์และสื่อที่ถูกสถาปนาให้เป็นผนังทองแดงกำแพงเหล็ก “พูดแทนพีระพันธุ์” และ “พูดถึงพีระพันธ์ุ” เพื่อพยุงความเชื่อมั่นของบรรดาแฟนคลับมิให้ตีจาก เหมือนที่“คนข้างตัว” จัดให้พีระพันธุ์ แบบ “ไข่ในหิน”
อนุทินเลือกบท “ไอ้ขวัญ” นักเลงบ้านทุ่งแห่ง “แผลเก่า”
พีระพันธุ์ ถูกวางให้เป็น “คุณชายกลาง” แห่ง “บ้านทรายทอง”
แม้ทั้งสองจะ “กินข้าวกับทักษิณ” บ่อยไม่แพ้กัน แต่ภาพลักษณ์ที่ออกมานั้น แม้จะตบแสนตบ แต่อนุทินก็จูบแสนจูบกับทักษิณ ชนิดจูบในที่แจ้ง ขณะที่พีระพันธุ์ไม่เคย “จูบทักษิณโชว์”
แต่ทักษิณก็ขาดทั้งสองพรรคนี้ไม่ได้ แม้บ่อยครั้งจะ “ปากเสีย” แขวะทั้งภูมิใจไทยและรวมไทยสร้างชาติ เนื่องจากเป็นพรรคร่วมแบบ “หนามยอกอก” หรือ “หอกข้างแคร่”
ทักษิณนั้น ติดนิสัย “เผด็จการ” แบบ “นายใหญ่”คำสั่งข้าต้องเป็นเด็ดขาด ใครขัดขืนไม่ได้
แต่ภูมิใจไทยกับรวมไทยสร้างชาติไม่ใช่พรรค “ตามใจ”เพียงแต่พรรคใดขัดคอเงียบๆ พรรคใดขัดคอแบบโฉ่งฉ่าง ก็ว่ากันไป แต่ทั้งสองพรรคล้วนเป็นพรรคที่ทำให้อำนาจในมือของทักษิณ “ไม่เบ็ดเสร็จเด็ดขาด” จนนายใหญ่ “หงุดหงิด” ไม่อาจทำอะไรตามใจตัวเองไปเสียทุกเรื่อง
ถ้าถามถึง “เอกภาพ” ในพรรคร่วมรัฐบาล เชื่อว่ายังแข็งแรง หากเดินไปตามลู่ตามทาง แต่หากจะออกนอกลู่นอกทางคราวใด จะเป็นอันต้องเลื่อนหรือชะลอบางเรื่องบางนโยบายไปในทันที เช่น นโยบายกาสิโน เป็นต้น
พรรคร่วมรัฐบาลไม่อันตรายตรงที่ เขาไม่ได้คิดโค่นล้มรัฐบาล เขาเองก็อยากมีผลงาน คุมงบฯ คุมข้าราชการ มีอำนาจอยู่ในมือ ขอแค่นายกฯ ฉลาดกว่านี้ ทักษิณใช้อภิสิทธิ์จนสังคมต่อต้านน้อยกว่านี้ และจุ้นจ้านน้อยกว่านี้รัฐบาลนี้ก็ไปได้
เพราะ “พรรคฝ่ายค้าน” ทำหน้าที่เป็น “มือที่ประคองรัฐบาล” อยู่เช่นเดียวกัน
ฝ่ายค้านมี “อาวุธเด็ด” ให้หยิบขึ้นมาฟาดฟัน เลื่อยโค่น รัฐบาลมากมาย แต่ไม่หยิบ ไม่ใช่ เหมือนเกรงใจ “ทักษิณ”
หลังการอภิปรายไม่ไว้วางใจ เรื่องที่ควรดำเนินเรื่องต่อไป คือ ตั๋วพีเอ็น, ที่ดินโรงแรม, ที่สนามกอล์ฟอัลไพน์ และกรณีชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ ถ้าดูฟอร์มพรรคฝ่ายค้านแบบ “ประชาธิปัตย์สมัยก่อน” ทุกเรื่องที่กล่าวมาถูกนำไปดำเนินต่อแบบ “ไม่ให้ผุดไม่เกิด” ไปแล้ว
แต่ยุทธการ “โรยเกลือ” ของ “พรรคประชาชน”คุยใหญ่คุยโต ว่า จะลุยต่อ กลับทำแค่เพียงกิจกรรมในวิชาคหกรรมโรงเรียนมัธยมฯ ที่เอาเกลือมาต้ม แล้วทำไข่เค็มไปอวดผู้ปกครอง มิได้สร้างความแสบความร้อนใดๆ ให้รัฐบาลเลย
ยิ่งเทียบกับสมัยที่ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกฯ แล้ว ฟอร์มทางการเมืองของพรรคก้าวไกลในขณะนั้นกับพรรคประชาชนในขณะนี้ เสมือนพลิกจากหน้ามือเป็นหลังตีนเลยเชียวล่ะ
ดังนั้น อย่าห่วงเอกภาพของรัฐบาล มันไปได้ในสภาพปัจจุบัน เพียงแค่ไปให้ถูกทาง ด้วยการเอาทักษิณเก็บเข้ากรง สวมตะกร้อปาก เอาจักรภพ เพ็ญแข มาเป็นโฆษกรัฐบาลแทนจิรายุ ห่วงทรัพย์ สื่อสารภาพลักษณ์ของรัฐบาลให้ดีกว่าปัจจุบัน เอา “อุ๊งอิ๊งค์”แพทองธาร ชินวัตร ไปติดตั้งสิ่งที่เรียกว่า “สมอง” แล้วกดปุ่ม “ใช้งาน” ให้หล่อนซะ
หาคนเก่งที่ “มีเครดิต” มาประกบเธอ มาช่วยเธอ อย่าให้คนเห็นแค่ “ข้าเก่าเต่าเลี้ยง” ของพ่อ ล้อมหน้าล้อมหลัง เหมือนพาคุณหนูมาเที่ยวทำเนียบรัฐบาล เหมือนที่อุ๊งอิ๊งค์พาลูกมาวิ่งเล่นที่สนามหญ้า อย่างไรอย่างนั้นเลย
ทักษิณรู้ดีว่าลูกไม่ฉลาด จึงพยายามช่วย แต่ช่วยแบบ “ล้ำหน้า” ลูกสาวยิ่งดูโง่ เซ่อ บ้า ส่วนขี้ข้าก็ไม่มีสิทธิจะฉลาดเพราะเดี๋ยวนายน้อยจะยิ่งโง่
จนกว่าทักษิณจะหยุดทำลายลูกสาว ด้วยการถอยไปอยู่เงียบๆ บัญชาการอยู่ข้างหลัง คัดคนหน้าใหม่ คุณภาพดีน่าเชื่อถือ มาช่วยลูกสาว ใช้บริวารเพียงแค่หอนแค่เห่าสู้กับฝ่ายก่อกวนเท่านั้น
ความน่าเชื่อถือของ “นักลงทุน” และการ “รับมือกับสถานการณ์โลก” จึงจะเฉียบขาดกว่านี
ทักษิณหลงกับความสำเร็จในอดีตของตัวเองจนลืมว่าโลกเปลี่ยนไป อ้างว้างกับความไม่มีอำนาจ ข้าทาสสอพลอตอนหนีคดีไปนานหลายปี จึงโหยหาสิ่งเหล่านี้ และกำลังดื่มด่ำกับสิ่งที่เคยขาดไป จนลืมคิดว่า กำลังทำลายทั้งลูกสาวและประเทศ!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี