หลังจากจีนสวนสหรัฐฯด้วยการตั้งกำแพงภาษีสินค้าสหรัฐฯ 34% อย่างเท่าเทียม ทำให้ทรัมป์ต้อง บลัฟกลับด้วยการเพิ่มมาตรการภาษีจีนไปอีก 50% (รวมเป็น 10+10+34+50 = 104%) เนื่องจากทรัมป์ประกาศล่วงหน้าไปแล้วว่าใครสวนสหรัฐฯ จะต้องโดนบวกอัตราภาษีเพิ่ม ดังนั้นสหรัฐฯ จะเสียหน้าไม่ได้ ไม่งั้นประเทศอื่นๆ จะไม่เกรงกลัวอย่างที่ควรจะเป็น
ยิ่งกว่านั้น ทรัมป์รู้แล้วว่า จะปล่อยจีนไว้ไม่ได้ เพราะขนาดจีนโดนสหรัฐฯ เตะตัดขาเรื่องกีดกันทางเทคโนโลยีในสมัยที่แล้วของทรัมป์ บวกกับฟองสบู่อสังหาฯ จีนปริแตก แต่รัฐบาลจีนยังคงสามารถขับเคลื่อนประเทศจีนต่อได้อย่างร้อนแรง แถมหันไปสนิทแนบแน่นกับรัสเซียเพิ่มขึ้นอีกด้วย
นั่นจึงไม่แปลก ที่ทรัมป์จะยอมเสี่ยงกับการท้าตีท้าต่อยด้วยมาตรการกำแพงภาษีบ้าดีเดือด ที่เสมือนการใช้คีโม เพื่อกำจัดจีนที่เป็นมะเร็งร้ายของสหรัฐฯ แล้วไปวัดใจกันว่า พลังกาย อย่างคุณภาพชีวิตของชาวอเมริกันชนที่เคยสู้กับค่าครองชีพในประเทศ ด้วยการบริโภคสินค้าราคาถูกที่มาจากค่าแรงต่ำๆ จากประเทศด้อยพัฒนาต่างๆมาหลายทศวรรษ จะสามารถรับแรงกดดันจากภาวะราคาสินค้าอุปโภค-บริโภค พุ่งทะยานฉับพลันจากมาตรการกำแพงภาษีทรัมป์ได้นานแค่ไหน? และหากถ้าทนไม่ได้ก็อาจจะออกมาประสานเสียง ร่วมขบวนขับไล่ไปกับบรรดาฝ่ายไม่เอาทรัมป์ จนกลายเป็นการขับไล่ประธานาธิบดีครั้งใหญ่ที่สุดของสหรัฐฯ ก็เป็นได้
ชาวโลกก็คงต้องจับตาดูกันว่า คนอเมริกันจะตายจากราคาสินค้าแพงขึ้นก่อน หรือว่าบรรดานายทุนเจ้าของโรงงานจะถอดใจย้ายโรงงานกลับเข้าสหรัฐฯ ก่อน (ซึ่งการย้ายฐานการผลิตต่างๆ กลับ ก็ต้องใช้เวลาเป็นปี ไม่ได้จะเสร็จในพริบตาเดียว)
นอกจากนั้นมาตรการนี้ สหรัฐฯ ก็ยังประกาศใช้กับมิตรประเทศอื่นๆ อีกด้วย ซึ่งแน่นอนว่าจะทำให้ค่าครองชีพในสหรัฐฯ เด้งไปไม่รู้กี่เท่า ชนิดว่ายังประเมินกันเป๊ะๆ ไม่ได้เลยทีเดียว โดยเราต้องไม่ลืมว่า ถ้าราคาสินค้าในตลาดสหรัฐฯ พุ่งทะยาน บรรดาแฟนคลับเดนตายทรัมป์ที่ส่วนมากเป็นชาวผิวขาวรากหญ้าในสังคมอเมริกัน ที่ปกติก็แทบจะอดมื้อกินมื้ออยู่แล้ว จะทนอดมื้อกินมื้อเพื่อทรัมป์ไปได้นานแค่ไหน? อีกทั้งนี่เป็นวาระที่ 2 ของทรัมป์ โดยเหลืออีกสามปีกว่าๆ ไม่มากไปกว่านี้ทำให้ประเทศต่างๆ ที่เป็นไม้เบื่อไม้เมากับสหรัฐฯ ก็น่าจะเลือกที่จะไม่ยอมทรัมป์ และทนประคองตัวรอดสมัยที่สองของทรัมป์ไปให้ได้ เพื่อรอ ปธน.สหรัฐฯ คนใหม่มาช่วยหันหัวเรือสหรัฐฯ ให้กลับสู่กติกาเศรษฐกิจสากลของ WTO ซึ่งก็ยังไม่สายที่จะกลับมาเติบโตกับการพึ่งพิงกัน แบบโลกาภิวัตน์อีกหน
ส่วนถ้าทรัมป์จะบ้าพอที่จะหาวิธีฝืนเพื่อดำรงตำแหน่ง ปธน.สมัยที่ 3 อย่างที่มีฝ่ายฮาร์ดคอร์คาดการณ์กันไว้ สังคมอเมริกันก็คงมีสิทธิ์แตกเป็นเสี่ยงๆ และเราอาจได้เห็นบางรัฐแยกตัวเป็นอิสระเนื่องจากไม่ทนอีกแล้วก็เป็นได้
ส่วนประเทศเล็กๆ อย่างไทย ก็เหมือนหญ้าแพรกที่พร้อมจะแหลกราญเมื่อช้างสารชนกันอยู่แล้ว ยิ่งเรามาได้สารตั้งต้นชั้นดีอย่างรัฐบาล มีกิน มีใช้ มีศักดิ์ศรีไปด้วยกันที่เอาแต่คิดว่าการแจกเงินหมื่นกะปริดกะปรอยจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจไทยในภาพรวม รวมทั้งเชื่อว่าเอ็นเตอร์เทนเมนท์คอมเพล็กซ์+กาสิโนจะช่วยให้ เศรษฐกิจไทยรอดพ้นสึนามิกำแพงภาษีของทรัมป์ไปได้ แค่คิด ชีวิตก็ซู่ซ่ากันแล้วครับพี่น้องชาวไทย!!
ยิ่งเมื่อพวกเราได้ฟังแผนเจรจาสหรัฐฯ ของท่านผู้นำสตรีอายุน้อยที่สุดในโลก ที่รัฐบาลไทยใช้เวลาเตรียมกันมา 3 เดือน ก็รู้สึกโหวงๆ ในท้อง ยิ่งพยายามฟังก็ยิ่งท้อใจ ว่าแผนที่ว่ามันจะไปเกิดประสิทธิภาพ สร้างประสิทธิผลกับความบ้าดีเดือดของ ปธน.ทรัมป์ในเวลานี้ได้อย่างไร?
ในเมื่อเราหวังพึ่งฝีมือรัฐบาลไม่ได้ ก็คงต้องพึ่งตนเอง พึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์แล้วล่ะครับ วันนี้อะไรออมได้ออม เก็บได้เก็บ เตรียมเผชิญหน้ากับการหดตัวทางเศรษฐกิจโลกครั้งใหม่ที่ยังบอกไม่ได้ว่าจะยาวนานแค่ไหน
เอาเป็นว่า ขอให้บุญรักษากันถ้วนหน้าแล้วกันนะครับ
วรพจน์ ตั้งพันธุ์เพียร
ในการนี้ผมก็มีข้อวิพากษ์วิจารณ์ว่า ปัญหาค่าครองชีพสูงขึ้นสำหรับชาวอเมริกันเป็นการทั่วไป จากผลกระทบของกำแพงภาษีที่สูงขึ้น ทำให้ราคาสินค้านำเข้าเป็นภาระเพิ่มขึ้นต่อชาวอเมริกันนั้น ก็คงไม่กระทบในเรื่องสินค้าอาหาร เพราะสหรัฐอเมริกาผลิตได้เองอย่างเพียงพอ ไม่ต้องพึ่งพาสินค้าอาหารนำเข้าจากต่างประเทศ อีกทั้งสินค้าอุปโภค-บริโภคที่นำเข้าจากต่างประเทศ ก็มิใช่เรื่องที่จำเป็นจริงๆ ต่อชีวิตประจำวัน สามารถที่จะลดการบริโภคได้ หรือลดความฟุ่มเฟือยได้ อีกทั้งประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ก็คงจะมุ่งเพิ่มพูนค่าแรงขั้นต่ำ หรือรายได้ต่อหัวต่อเดือนให้เหมาะสมกับค่าครองชีพ พร้อมกับการเพิ่มการจ้างงานที่จะเกิดขึ้นจากการขยายโรงงานที่มีอยู่และการนำเอาโรงงานที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วโลกกลับมาตั้งอยู่ที่สหรัฐอเมริกา แต่นั่นเป็นการคาดการณ์ของผม ก็ขึ้นอยู่กับว่าทางประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ จะแก้ปัญหาภายในดังกล่าวของสหรัฐอเมริกาอย่างไร แต่ก็เชื่อว่าเขาคงมีความคิดว่าด้วยมาตรการแก้ไขสถานการณ์อยู่แล้ว เพียงแต่รอเวลาที่จะประกาศออกมา และให้เรื่องการขึ้นภาษีศุลกากรประสบความสำเร็จไปในระดับหนึ่งเสียก่อน
ในมุมกว้างฐานเสียงของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ก็ยังคงมั่นคงดีอยู่ และประชาชนพลเมืองก็พร้อมที่จะแบกภาระเฉพาะหน้าของราคาสินค้าที่สูงขึ้น ด้วยความคาดหวังและเชื่อมั่นว่าทุกสิ่งทุกอย่างก็จะดีขึ้นในที่สุดภายใต้การนำพาของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี