แท้จริงแล้ว สัตว์โลกทั้งปวงและโฮโมซาเปี้ยนทั้งหลาย ต่างมี “ความเจ้าเล่ห์” ฝังอยู่ในสันดานทั้งสิ้น
โดย “ความเจ้าเล่ห์” ของทั้งคนและสัตว์ ต่างมีความเจ้าเล่ห์ของ “แต่ละปัจเจกไม่เท่ากัน” ซึ่งขึ้นอยู่กับ “ปัจจัยมากมาย” ที่จาระไนกันไม่หมด
“บรรดาสัตว์ยอดเจ้าเล่ห์นั้นในนิทานไทย ในนิทานจีนและหลายชาติในทวีปเอเชียมักยกให้ สุนัขจิ้งจอก เป็นผู้ร้ายตัวจริงที่ยอดเจ้าเล่ห์ เป็นจอมทรยศหักหลัง เลี้ยงไม่เชื่อง ขี้ลักขี้ขโมย และสารพัดมากเล่ห์กล”
ผิดกับ “นิทานของอีสป” หากเรื่องใดมีหมาป่าเป็นตัวละคร หมาป่าก็จะกลายเป็นผู้ร้ายตลอดกาล “สุดเจ้าเล่ห์และทรยศหักหลังตลอดศก”
“สำหรับโฮโมซาเปี้ยน” ซึ่งเป็นเผ่าพันธุ์มนุษย์ยุคปัจจุบัน กำเนิดขึ้นมาบนโลกยาวนานกว่าแสนปี นอกจากต่างถูกมนุษย์ด้วยกันระบุว่า “สุดเจ้าเล่ห์”
แม้แต่ “เทพเจ้า” ก็ยังเห็นว่า “มนุษย์ทุกคนเจ้าเล่ห์จริง” เช่น “นิทานอีสปเรื่องนี้” ที่ได้เล่าไว้ดังนี้
“นิทานอีสป” เรื่อง “เทพเจ้าแซทเทอร์กับนมุษย์”
“กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว” เทพเจ้าแซทเทอร์(Satyr) กับชายหนุ่มคนหนึ่งเป็นเพื่อนกัน วันหนึ่งในฤดูหนาวที่สุดหนาว หิมะได้ตกลงมาอย่างรุนแรง “แซทเทอร์” เป็นเทพที่ไม่รู้จักหนาว ในขณะที่ “ชายหนุ่มผู้เป็นมนุษย์” หนาวจนตัวสั่น จึง “ยกมือทั้งสองข้างมาจ่อที่ปาก แล้วเป่าลมออกจากปากใส่ทั้งสองมือ”
เทพแซทเทอร์เห็นเช่นนั้นจึงเอ่ยปากถามว่า “เพื่อนรัก เจ้าทำเช่นนี้เพื่ออะไร?”
ชายหนุ่มตอบว่า “ข้าเป่าลมออกจากปากใส่มือทั้งสองข้าง เพื่อทำให้มืออุ่นขึ้น”
ต่อมาไม่นาน “ชายหนุ่มล่ากระต่ายป่ามาได้ตัวหนึ่ง แล้วถลกหนังเอาเนื้อย่างไฟพอเนื้อสุกก็ยื่นชิ้นหนึ่งให้เทพเซทเทอร์” ปรากฏว่า “แซทเทอร์” สั่นหัวแล้วบอกว่า “ข้าเป็นเทพอมตะไม่จำเป็นต้องกินอาหาร”
“ชายหนุ่มจึงนำเนื้อกระต่ายป่าที่ยังร้อนควันฉุยมาจ่อที่ปากแล้วเป่าลมใส่เนื้อย่างสักพักก็ส่งเนื้อเข้าปากเคี้ยวอย่างสุดอร่อย”
“แซทเทอร์” เห็นเช่นนั้นจึงเอ่ยปากถามว่า “เพื่อนรัก เจ้าทำเช่นนี้เพื่ออะไร?”
ชายหนุ่มตอบว่า “ข้าเป่าลมออกจากปากใส่เนื้อย่าง เพื่อทำให้เนื้อที่ร้อนๆ ได้เย็นลง”
“เทพแซทเทอร์” ได้ฟังเช่นนั้นจึงเอ่ยว่า “ลมปากของมนุษย์นี้แปลกมาก เป่าให้มือที่หนาวอุ่นได้ และเป่าให้เนื้อย่างที่ร้อนเย็นลงได้ ลมปากที่กลับไปกลับมาได้เช่นนี้ ข้าคงจะไว้ใจเจ้าไม่ได้อีกแล้ว”
พูดจบ “เทพแซทเทอร์ก็จากไป” แล้วบังเอิญพบบ้านหลังหนึ่งในป่าใหญ่ถูกไฟป่าเผาวอดไปทั้งหลัง แล้วเห็น “หญิงสาวคนหนึ่งร้องไห้อย่างเศร้าโศกเสียงดัง”
“เทพแซทเทอร์” จึงถาม “เจ้าร้องไห้เพราะเหตุใด?”
หญิงผู้นั้นตอบว่า “ร้องไห้เพราะเสียใจที่สามีตายในกองไฟและลูกสาวตกใจเตลิดเข้าป่า”
“เทพแซทเทอร์” ได้ฟังดังนั้น จึงรีบเข้าป่าหาลูกสาวของหญิงคนดังกล่าว “พาออกมามอบให้แก่นาง” ครั้นสองแม่ลูกพบกัน “ต่างกอดกันร่ำไห้เสียงดัง” แซทเทอร์จึงถาม“ครั้งนี้เจ้าร้องไห้ทำไมอีกเล่า?” หญิงสาวตอบว่า “ร้องไห้เพราะดีใจที่ได้ลูกกลับมา”
แซทเทอร์ได้ฟังเช่นนั้น จึงเอ่ยว่า “น้ำตามนุษย์นี้เจ้าเล่ห์มาก เสียใจก็ร้องไห้ ดีใจก็ร้องไห้ ต่อนี้ไปข้าคงไว้ใจมนุษย์ไม่ได้”
สุดเจ้าเล่ห์ ยังมีต่อครับ
กมลศักดิ์ ตั้งธรรมนิยม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี