อันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ในฐานะประธานหมุนเวียนอาเซียน 2025 กับ สทร. ที่เขาแต่งตั้งเป็นที่ปรึกษากลายเป็นตัวตลกอาเซียน เมื่อพลเอกมิน อ่อง หล่าย ประธานสภาบริหารแห่งรัฐเมียนมา (State Administration Council=SAC) มาพบในประเทศไทย แต่ไม่ให้ถ่ายรูปคู่และไม่ยอมแถลงข่าวร่วม
ในเทศกาลสงกรานต์ สทร. ผู้เป็นที่ปรึกษานายอันวาร์ คุยโวที่ จังหวัดเชียงใหม่ ว่า ตนเองรับภาระแก้ปัญหาแทนรัฐบาลหลายด้าน รวมทั้งปัญหาประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ขึ้นภาษีศุลกากรตอบโต้ทางการค้า หากมีเวลาตนจะเดินทางไปอเมริกา เพื่อเจรจากับประธานาธิบดี ทรัมป์ ด้วยตัวเอง
คำคุยโวของ สทร. เรียกเสียงฮือฮาแก่บรรดาสมุนบริวาร นอกจากนั้น เขายังพูดถึงสถานการณ์ความขัดแย้งในเมียนมา โดยพูดว่าจะจัดเวลาคุยกับ มิน อ่อง หล่าย “ได้พบกับมิน อ่อง หล่าย ในที่ประชุมบิมสเทค หลังสงกรานต์จะจัดเวลาพบกับ มิน อ่อง หลาย..
: ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพจัดประชุมริเริ่มความร่วมมืออ่าวเบงกอล หรือ บิมสเทค ที่พลเอกมิน อ่อง หล่าย เดินทางมาร่วมประชุมนานาชาติในประเทศไทย เป็นทางการ เมื่อต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา ครั้งนั้น สทร. ได้ถ่ายรูปนั่งคุยกับ นเรนทรา โมดี นายกรัฐมนตรีอินเดีย แต่ไม่มีรูปถ่ายกับมิน อ่อง หล่าย นำมาใช้หาแสง
การพูดคำใหญ่ของ สทร. สร้างความตื่นเต้นให้ นายอันวาร์ ในฐานะประธานอาเซียนถึงกับโพสต์เฟซบุ๊กว่า“ขอบคุณพลเอกมิน อ่อง หล่าย ที่รับเชิญมาพบปะหารือกันในประเทศไทย วันที่ 17 เมษายนนี้”
ข้อความบนเฟซบุ๊ก นายอันวาร์ สร้างความงวยงงสงสัยว่า หากประธานอาเซียนประสงค์จะพูดจา เรื่องความขัดแย้งในเมียนมากับ พลเอกมิน อ่อง หล่าย ทำไม ไม่ไปพบกันในประเทศมาเลเซีย หรือว่า นายอันวาร์ อยากให้ สทร. ซึ่งเป็นที่ปรึกษาได้หน้า จึงนัด พลเอกมิน อ่อง หล่าย มาพบกับในประเทศไทย เนื่องจากที่ปรึกษา นายอันวาร์ เป็นจำเลยในคดีอาญา มาตรา 112 เดินทางนอกประเทศได้ต่อเมื่อได้รับอนุญาตจากศาลเท่านั้น
เช้าวันที่ 17 เมษายน นายอันวาร์ เดินทางมาถึงประเทศไทย ในฐานะแขกรัฐบาล โดยนายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร จัดพิธีต้อนรับอย่างเป็นทางการ และนายกรัฐมนตรีทั้งสอง ได้ทวิภาคีกัน โดยไม่มีวี่แวว พลเอกมิน อ่อง หล่าย ทำให้ทั้ง ที่ปรึกษาและประธานอาเซียนเริ่มกระวนกระวาย ไม่แน่ใจว่า พลเอกมิน อ่อง หล่าย จะมาตามที่พวกตนคุยไว้หรือไม่
สื่อในประเทศไทย รายงานว่าเวลา 14.00 น. สทร. ไปรอต้อนรับ พลเอกมิน อ่อง หล่าย และ นายอันวาร์ ที่โรงแรมโรสวูด ประมาณ 15.00 น. นักข่าวเห็น นายสุรเกียรติ์ เสถียรไทย อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสมัยรัฐบาลพรรคไทยรักไทย ออกจากโรงแรมไปโดยไม่ได้พูดกับสื่อ เข้าใจว่านายทักษิณต้องการให้นายสุรเกียรติ ร่วมเจรจากับพลเอกมิน อ่อง หล่าย แต่เมื่อแขกคนสำคัญไม่ปรากฏตัว นายสุรเกียรติ์ก็หลบฉากออกไป
นักข่าวสายทหารกล่าวว่า พลเอกมิน อ่อง หล่าย นั่งเฮลิคอปเตอร์ทหาร มาลงที่สนามบินทหาร บน.6 ตอนบ่าย โดยมีทหารไปต้อนรับและนำเข้าห้องรับรองไม่แน่ใจว่า ได้พูดคุยกับนายทหารชั้นผู้ใหญ่ของไทยหรือไม่
เวลา 17.00 น. มีรถยนต์ที่ติดเครื่องหมายประเทศเมียนมาแล่นเข้ามาในโรงแรม ทำให้เชื่อว่าพลเอกมิน อ่อง หล่าย มาในรถคันนั้น เจ้าหน้าที่กันไม่ให้นักข่าว เข้าใกล้โดยอ้างว่า เป็นการรักษาความปลอดอย่างเข้มงวด
หากสื่อมีสติปัญญา ก็จะเอะใจว่า มีบางอย่างผิดไปจากนิสัยถาวรของ สทร. เพราะนิสัยถาวรของเขาคือ หิวแสงอยากออกสื่อ ไม่ว่าจะพบใครที่ไหนต้องโพสท่าให้ช่างภาพถ่ายรูป แม้กระทั่งไปตัดผม ไปกินก๋วยเตี๋ยวก็ต้องมีภาพแฟนคลับออกมาต้อนรับถ่ายภาพออกสื่อ ครั้งนี้แขกคนสำคัญ พลเอกมิน อ่อง หล่าย มาพบถึงโรงแรม ทำไมเขาไม่ยิ้มร่าออกมาต้อนรับจับมือตบบ่าตบไหล่ ให้ช่างภาพถ่ายรูปเหมือนที่เคยทำตลอดมา
บางทีอาจเป็นเพราะนิสัยถาวรที่ชอบโอ้อวดของ สทร. ก็ได้ ทำให้ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ไปเยือน เวียดนามมาเลเซีย และ กัมพูชา แต่ไม่มาประเทศไทย ฤาเป็นเพราะประธานาธิบดีสี กลัวว่าหากมาประเทศไทยจะต้องพบกับนายกรัฐมนตรีที่ไม่ประสีประสา และหากบาปเหมาะเคราะห์ร้ายต้องพบกับพ่อนายกฯ ที่ฉวยโอกาสถ่ายรูปคู่กับท่านแล้วเที่ยวคุยโม้โอ้อวดว่าตนเป็นเพื่อนสนิทกับประธานาธิบดีจีน
โดยสามัญสำนึกคนทำข่าวเชื่อว่า ที่ พลเอกมิน อ่อง หล่าย มาพบ นายอันวาร์ ในประเทศไทย แต่ไม่ให้ถ่ายรูป คงมีเหตุผลคล้ายๆ กับ ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ซึ่งในความเป็นจริง พลเอกมิน อ่อง หล่าย อยากมาประเทศไทยเพื่อได้เปิดหน้าต่างทางการทูตกับอาเซียน แต่หากมาประเทศไทย แล้วมีคนนอกรัฐบาลเป็นเจ้ากี่เจ้าการในการเจรจาการสู้ไม่ให้ถ่ายรูปไม่ร่วมแถลงข่าวเพื่อรักษาเครดิตของตัวไว้ดีกว่า
ความจริงที่ปรึกษาประธานอาเซียน รู้อยู่เต็มอกว่า พลเอกมิน อ่อง หล่าย ไม่ชอบขี้หน้าพ่อนายกรัฐมนตรีไทย ตั้งแต่สงกรานต์ปีกลาย ที่มีรายงานว่า สทร. ได้พบปะหารือกับ ผู้แทนรัฐบาลเงาเมียนมา (NUG) และ กลุ่มชาติพันธุ์ ที่ยังต่อต้านรัฐบาลทหารเมียนมา โดยเขาเสนอตัวเป็นคนกลางในการเจรจายุติความขัดแย้งในเมียนมา
พลโทซอ มินตุน โฆษกรัฐบาลทหารเมียนมา สนองตอบต่อความร่านของ สทร. ว่า “เป็นการแทรกแซงกิจการภายในของประเทศเพื่อนบ้านอย่างไร้มารยาท”
แต่บัดนี้ สทร. มีสถานะเป็นบิดานายกรัฐมนตรี และเป็นที่ปรึกษาประธานอาเซียน เลยคิดเองเออเองว่า ความรู้สึกรัฐบาลทหารเมียนมาต้องเปลี่ยนไปตามสถานะอันยิ่งใหญ่ของตน จึงพูดได้ว่า ทั้งประธานอาเซียนและที่ปรึกษาไม่เข้าใจบริบทการเมืองเมียนมามีต่ออาเซียน
ตั้งแต่ยึดอำนาจจากพรรคเอ็นแอลดีของ นางออง ซาน ซู จี เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2564 รัฐบาลทหารเมียนมาถูกกีดกัน ไม่ให้ร่วมกิจกรรมใดๆ ในนามอาเซียนโดยกล่าวหาว่า รัฐบาล พลเอกมิน อ่อง หล่าย ไม่ปฏิบัติตามฉันทามติ 5 ข้อของอาเซียน
ประธานหมุนอาเซียน ตั้งแต่ บรูไน กัมพูชา อินโดนีเซีย และ สปป.ลาว ไม่ให้ พลเอกมิน อ่อง หล่าย ได้ร่วมประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน ซึ่งขัดหลักการเบื้องต้นที่กำหนดว่าข้อตกลงใดๆ ต้องได้รับฉันทามติจากผู้นำทุกชาติสมาชิก
ผู้ที่ติดตามความเคลื่อนไหวเหตุการณ์ในเมียนมา และ บทบาทของอาเซียน พบว่า อาเซียนแก้ปัญหาวิกฤตการเมืองเมียนมา ตามโฆษณาชวนเชื่อของสหรัฐอเมริกา และประเทศตะวันตก โดยไม่ศึกษาไม่มองความจริงว่าฝ่ายไหน เป็นผู้ขัดฉันทามติอาเซียนอย่างแท้จริง
ขอยกตัวอย่างเพียงหนึ่งข้อ เพื่อความเข้าใจ ฉันทามติข้อที่ 1 เขียนว่า “ให้ทุกกลุ่ม ทุกฝ่ายในเมียนมา ยุติความรุนแรงทันที” พลเอกมิน อ่อง หล่าย กลับจากร่วมลงนาม ในกรุงจาการ์ตา ถึงประเทศเมียนมาวันที่ 26 เมษายน 2564 พลเอกมิน อ่อง หล่าย ประกาศหยุดยิงทั่วประเทศทันที จนถึงสิ้นเดือนธันวาคม
แต่ 10 วัน หลังจาก พลเอกมิน อ่อง หล่าย ประกาศหยุดยิง วันที่ 5 พฤษภาคม นาง ออง ซาน ซู จี ประกาศปฏิวัติประชาชนทั่วประเทศเมียนมา เธอเรียกร้องให้ประชาชนทุกหมู่บ้านตำบล หยิบฉวยอาวุธที่หาได้ขึ้นมาทำสงครามกับผู้ยึดอำนาจจากประชาชน
ตั้งแต่วันที่ 5 พฤษภาคม 2564 ประเทศเมียนมาจึงเต็มด้วยความวุ่นวาย จะโทษ พลเอกมิน อ่อง หล่าย ฝ่ายเดียวไม่ได้ เพราะเป็นหน้าที่ของผู้บริหารแห่งรัฐ ต้องรักษาความสงบในชาติ และในท่ามกลางความวุ่นวายในเมียนมาโลกภายนอกตลอดถึงอาเซียนได้รับแต่ข่าวบิดเบือนจากโฆษณาชวนเชื่อของอเมริกาและตะวันตก ที่ยกย่องฝ่ายต่อต้านเป็นผู้ฝักใฝ่ประชาธิปไตย และใส่ร้าย พลเอกมิน อ่อง หล่าย เป็นผู้ร้ายฆ่าประชาชนของตนเอง
เมื่อถูกอาเซียนกีดกันใส่ร้าย พลเอกมิน อ่อง หล่าย ต้องนำเมียนมาไปคบค้า จีน รัสเซีย และอินเดีย มากขึ้น จากการช่วยทุกด้านของจีน รัสเซีย และอินเดีย ทำให้สถานการณ์เมียนมา อยู่ในภาวะที่ควบคุมได้ และพร้อมจัดให้มีการเลือกตั้งภายในปีนี้
จีนซึ่งเป็นตัวตั้งตัวตีในการเตรียมให้มีการเลือกตั้ง จีนสนับสนุนทั้งกำลังคน เครื่องมือทันสมัย และปัจจัยใช้ในการเลือกตั้ง ในเวลาเดียวกัน ประเทศเพื่อนบ้านที่มีชายแดนติดกัน อาทิ จีน อินเดีย บังกลาเทศ สปป.ลาว และประเทศไทย ต่างก็สนับสนุนให้เมียนมาเลือกตั้ง และ จัดให้มีรัฐบาลใหม่ภายในต้นปี 2026
ในขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านที่มีชายแดนติดกับเมียนมา ซึ่งได้รับผลกระทบโดยตรงจากความขัดแย้งในเมียนมา จึงสนับสนุนให้มีเลือกตั้ง เพื่อเปลี่ยนผ่านสู่รัฐบาลใหม่ แต่สมาชิกอาเซียนบางชาติแสดงท่าทีคัดค้าน ในการประชุมอาเซียน อย่างไม่เป็นทางการเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ที่ประชุมมีความเห็นว่า เมียนมาไม่ควรมีเลือกตั้งจนกว่าสงครามกลางเมืองจะสงบ
ดังนั้นเมื่อ พลเอกมิน อ่อง หล่าย มาพบ อันวาร์ ในประเทศไทย ตามคำเชิญประธานอาเซียน เขาจึงไม่ยอมร่วมถ่ายรูปกับพวกหิวแสง ไม่ยอมร่วมแถลงข่าว จึงเป็นสัญญาณว่าเมียนมาไม่แคร์อาเซียนอีกต่อไป และบอกอาเซียนเป็นนัยว่า อาเซียนจะขัดขวางการเลือกตั้งอะไรเอาตอนนี้ ในเวลาที่จีน อินเดีย รัสเซีย ตลอดถึงประเทศเพื่อนบ้านที่มีชายแดนติดกันสนับสนุนให้มีการเลือกตั้ง
จึงพูดได้ว่า พลเอกมิน อ่อง หล่าย ทำให้ นายอันวาร์ และ สทร. ที่ปรึกษากลายเป็นตัวตลกอาเซียน ดังที่นายอันวาร์โพสต์บนเฟซบุ๊กว่า...
..“ได้พบปะหารือกับพลเอกมิน อ่อง หล่าย เมื่อเย็นวันวาน..” และมีคนนำเพลงไทยไปลงเสียงเพลงประกอบว่า “อมพระมาพูดก็ไม่เชื่อ” นายอันวาร์กับ สทร.ที่ปรึกษา จึงกลายเป็นตัวตลกอาเซียนโดยปริยาย
สุทิน วรรณบวร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี