กลายเป็นประเด็นวิพากษ์วิจารณ์ กรณี “ทราย สก๊อต”หรือนายสิรณัฐ ภิรมย์ภักดี ที่ดูเหมือนจะเจอแรงกดดันจากคนทำงานในระบบราชการของกรมอุทยานแห่งชาติฯ ถึงขั้นมีการทำรายงานร้องเรียนต่ออธิบดี นายอรรถพล เจริญชันษา โดยเจ้าหน้าที่กรมอุทยานแห่งชาติฯ บรรยายถึงพฤติกรรมของนายทราย ว่า
1.มักอ้างตัวว่าเป็นที่ปรึกษาอธิบดีกรมอุทยานฯ และใช้อำนาจดังกล่าว สั่งการเจ้าหน้าที่ให้เข้าร่วมสนับสนุนภารกิจ ตลอดจนขอใช้ยานพาหนะของอุทยานแห่งชาติฯโดยไม่ขออนุญาตและไม่แจ้งล่วงหน้า ซึ่งส่วนมาก รถ เรือ จะติดภารกิจประจำของอุทยานฯ ทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานลดลง
2.ใช้ทีมงานที่เป็นชาวต่างชาติ เข้ามาร่วมกิจกรรมโดยไม่ขออนุญาต การบินโดรนหรือการถ่ายคลิปวีดีโอต่างๆ ก็ไม่ได้ขออนุญาต และทุกครั้งที่เข้ามาภายในอุทยานฯ มักจะมีตากล้อง ประมาณ 2-3 คน และผู้ดูแล (Body guard) 1 คน ร่วมภารกิจด้วยทุกครั้ง โดยการลงคลิปเท่าที่ทราบ นายทรา มักจะลงในช่องทางของตนเอง ไม่เคยพบเห็นลงให้ในช่องทางของกรมอุทยานฯ
3.มีการตักเตือนนักท่องเที่ยว ไกด์ คนเรือ หรือผู้ประกอบการ บ่อยครั้งมีการใช้คำพูดที่ดูถูกเหยียดหยามหรือด้อยค่าบุคคล พาดพิงถึงการศึกษาของคู่กรณีว่าคุณวุฒิต่ำกว่าตัวเอง อวดอ้างว่าตัวเองเป็นนักอนุรักษ์และรักธรรมชาติมากกว่าคนอื่นๆ ซึ่งผู้ประกอบการในพื้นที่มีความไม่พอใจอย่างยิ่ง ทำให้เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานประจำพื้นที่ มีความลำบากในการทำงานมาก เพราะผู้ประกอบการเข้าใจว่านายทรายเป็นเจ้าหน้าที่อุทยานฯ จึงตำหนิและกล่าวว่าเจ้าหน้าที่แบบเหมารวม
4.ไม่ทราบว่ามีคุณวุฒิหรือความเชี่ยวชาญหรือผลงานที่เด่นชัดด้านงานทางทะเลใด ที่มีความเหมาะสมต่อการเป็นที่ปรึกษาอธิบดีกรมอุทยานฯ ด้านการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมทางทะเล เพราะที่ทราบโดยทั่วกันคือ เป็นบุคคลที่ชื่นชอบการว่ายน้ำ
5.นายทราย มักจะลงคอนเทนต์ในช่องทางของตนเอง กรณีการปฏิบัติงานร่วมกับเจ้าหน้าที่ ซึ่งโน้มน้าวให้บุคคลมองเห็นถึงภาพลักษณ์ที่ดีด้านการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมทางทะเลของตนเอง แต่ในข้อเท็จจริงมักจะไม่ได้ร่วมกิจกรรมดังกล่าวตั้งแต่ต้นหรือปฏิบัติงานจนแล้วเสร็จ
6.นายทราย มักจะมีกิจกรรมด้านการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมทางทะเล ที่เหมือนจะมีวัตถุประสงค์ที่สนองความต้องการตนเองแอบแฝงอยู่ เช่น กิจกรรมว่ายน้ำสำรวจขยะ บริเวณเกาะต่างๆ กิจกรรมดำน้ำลึกสำรวจความหลากหลายของปะการัง ในสถานที่และช่วงเวลาที่สัตว์ทะเลหายากเข้ามาบริเวณดังกล่าว เป็นต้น เมื่อมีกิจกรรมข้างต้น เจ้าหน้าที่ต้องเตรียมยานพาหนะ น้ำมันเชื้อเพลิง ตลอดจนอาหารสำหรับของทีมงานนายทราย โดยตัวนายทราย มีข้อจำกัดในการรับประทานอาหารและน้ำดื่ม กล่าวคือ นายทราย ไม่ทานอาหารทะเลและอาหารที่มีส่วนผสมของวัตถุดิบจากทะเล ด้วยเหตุผลที่ว่าไม่ต้องการทำร้ายทะเล และน้ำดื่มต้องเป็นน้ำแร่ เท่านั้น
อนึ่ง รายงานฉบับนี้มีเจตนาทำขึ้น โดยคำนึงถึงภาพลักษณ์ที่ดีของกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช
โดยก่อนหน้านี้ ทราย สิรณัฐ สก๊อต ได้เปิดเผยถึงคลิปเหตุการณ์ปะทะคารมกับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่ทักทายเขาว่า “หนีห่าว” ต่อหน้าเขา ซึ่งเขารู้สึกว่า เป็นการทักทายอย่างไม่สุภาพ เป็นการเหยียด จึงตักเตือน แต่ฝ่ายนั้นกลับไม่สำนึก จึงสั่งให้เรือกลับฝั่งเพื่อพูดคุยและอธิบายว่าการเหยียดคนไทยหรือชาวเอเชียเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้ ทรายเผยแพร่คลิป
เพื่อส่งกำลังใจให้เจ้าหน้าที่ไทย และย้ำว่า “แม้เขาจะมาเที่ยวประเทศเรา แต่ไม่ได้หมายความว่าเขามีสิทธิเหยียดคนไทย”
โดยก่อนหน้านี้ ทราย สก๊อต ได้โพสต์ข้อความ ว่า “ผมเลือกที่เสียสละงานที่ผมรักกับตำแหน่งของผม เพื่อโอกาสที่จะสะท้อนเรื่องจริงของปัญหาทะเลทางภาคใต้ เหนือกว่าตำแหน่งผมคือความรักที่ผมมีต่อทะเล ขอบคุณสำหรับทุกประสบการณ์ และผมเป็นกำลังใจให้เจ้าหน้าที่เสมอ…ผมเดินต่อครับ”
อย่างไรก็ตาม เกี่ยวกับเรื่องนี้ นายอรรถพล เจริญชันษา อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช ออกมาเปิดเผยว่า ทรายได้ส่งข้อความมาถึงตน โดยระบุว่า
“ทรายไม่อยากให้อธิบดีกังวลหรือรู้สึกอึดอัด ทรายไม่ได้รู้สึกไม่ดีนะครับ ถ้าอธิบดีจะถอนทรายจากตำแหน่ง ทรายได้ทำเต็มหน้าที่และดีใจที่สังคมเขาเห็นด้วยกับสิ่งที่ทรายได้ทำร่วมกับอุทยาน ตอนนี้คนได้เห็นนิสัยที่แท้ของ บริษัททางภาคใต้ซึ่งปัญหาเรื่องนี้มันสะสมจากการเพิกเฉยของคนในพื้นที่และเจ้าหน้าที่ของเราเอง จนส่งผลให้แนวปะการังและทรัพยากรเราเสื่อมโทรม ถึงขั้นว่าหลายจุดฟื้นตัวกลับมายาก
ตั้งแต่เริ่ม ทรายประเมินว่า การช่วยอุทยานในภารกิจอนุรักษ์ทางดีที่สุดทรายต้องสะท้อนเรื่องจริงและออกมาพูดในสิ่งที่เจ้าหน้าที่ต้องเจอ (ไม่ได้กล่าวถึงว่าเจ้าหน้าที่เราเองทำหรือไม่ทำเพราะทรายทำเป็นตัวแทนให้) แม้ว่ามันจะส่งผลให้คนในพื้นที่ไม่ชอบทราย แทนที่จะไม่ชอบอุทยาน ทรายยอมรับในผลเพื่อภารกิจแล้ว ทรายรู้ว่าสิ่งที่ทรายได้ทำจะเห็นผลและดีกับภารกิจอนุรักษ์ในระยะยาว เพื่อแก้ไขภาพมาตรฐานการท่องเที่ยวที่ล้มเหลวตอนนี้ครับ
ทรายไม่อยากให้อธิบดีอึดอัดครับทรายขอบคุณทุกๆ ประสบการณ์เสมอครับ”
นายอรรถพลกล่าวว่า ข้อความดังกล่าว เป็นเหมือนการระบายความรู้สึก เรื่องการทำงาน ซึ่งตนอยากให้เอาเป็นบทเรียนสำหรับการทำงาน และการทำคอนเทนต์ ซึ่งหากมีความประสงค์จะลาออกก็ต้องทำหนังสือมาให้เป็นเรื่องเป็นราว หรือ โทรศัพท์มาคุย และตนก็เห็นว่า ตอนนี้ เขาไม่ได้ทำอะไรผิด ยืนยันว่ายังไม่ได้ปลดออกจากตำแหน่งตามที่มีข่าวในโซเชียล
เมื่อถามว่า ทรายมาเป็นที่ปรึกษา ของอธิบดีกรมอุทยานฯได้อย่างไร นายอรรถพล กล่าวว่า ตั้งแต่ที่ตนเป็นอธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง เคยไปว่ายน้ำข้ามเกาะด้วยกัน และเห็นว่าเป็นคนรุ่นใหม่ที่มีจิตใจเพื่อส่วนรวมในการทำงานด้านการอนุรักษ์ จึงชวนมาทำงานเป็นที่ปรึกษา แต่ก็ทำงานแบบไม่มีเงินเดือน เป็นจิตอาสา ที่คอยช่วยเหลืองานมากกว่า
แต่ในที่สุด อธิบดีก็มีคำสั่งปลดทรายออกจากตำแหน่งที่ปรึกษาแล้ว ด้วยเหตุผลว่า “ทรายต้องทำงานร่วมกับทุกฝ่ายได้ แต่วันนี้ทำงานร่วมกับใครไม่ได้ เลยต้องยุติบทบาท แต่เขายังเด็ก ผมเข้าใจ ต้องฟังคนอื่นให้เยอะกว่านี้”
ผมคิดว่า สังคมส่วนใหญ่ เลือกจะยืนอยู่ข้างทราย และอยากเห็นการทำเรื่องนี้ให้กระจ่าง
1) เห็นได้ชัดว่า มีความไม่ลงรอยระหว่างผู้ปฏิบัติงานประจำของกรมอุทยานฯ กับทราย ขณะที่ทรายให้สัมภาษณ์ในทำนองว่า “ผมเห็นมากเกินไป” คำถามคือ ทรายเห็นอะไร เห็นการทุจริต เห็นการทำลายทรัพยากร เห็นความหย่อนยาน ฯลฯ สิ่งเหล่านี้มีจริงใช่ไหม แล้วใครจะเป็นคนแก้ไข คงไม่ใช่เพียงปลดทรายแล้วทุกอย่างก็ดำเนินไปเหมือนเดิม
2) ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวกับสื่อว่า มองว่าการทำงานไม่ว่าตำแหน่งใด ก็ต้องมีกฎระเบียบ และตนเห็นด้วยกับการที่ทรายปกป้องทรัพยากรธรรมชาติ จึงได้บอกอธิบดีกรมอุทยานฯว่าให้กำลังใจ แต่ก็ต้องรับฟังข้อเท็จจริงว่าการทำคอนเทนต์บางเรื่องนั้น ส่งผลกระทบกับหลายกลุ่ม ซึ่งต้องมาช่วยกันดูว่าเรื่องนี้จะทำอย่างไรให้เกิดประโยชน์ โดยตนไม่อยากให้เป็นเรื่องดราม่าสร้างกระแสในสังคมว่ามีการรังแก จึงบอกว่า
“เหรียญมี 2 ด้าน เพราะฉะนั้นต้องดูให้ครบทุกด้านว่าวันนี้สถานะแต่ละบุคคลเป็นอย่างไร ถ้าเขามาจากครอบครัวที่มีพื้นฐานดี ก็ต้องดูด้วยว่าครอบครัวเขาเป็นอย่างไร ต้องดูหลายๆ อย่าง ผมรับฟังทุกอย่าง จะดำเนินการอะไรก็เป็นอำนาจของอธิบดี เพราะเป็นที่ปรึกษาอธิบดี ไม่ได้เป็นที่ปรึกษารัฐมนตรี”
สรุป : ขณะที่ทรายเดินสายออกรายการต่างๆ พูดๆๆๆ แต่คนในกรม ในกระทรวงเลือกที่จะพูดน้อยๆ ความกำกวม ความน่าสงสัยก็ย่อมจะเกิด
คำถามคือ อธิบดี รัฐมนตรี เลือกจะให้เรื่องทั้งหมดมันกำกวมต่อไปแบบนี้เช่นนั้นหรือ?
จิตกร บุษบา
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี