รัฐบาลพรรคเพื่อไทย ที่มีอดีตนักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตรคอยชักใย“มาดามแพทองโพย”บุตรสาวผู้เป็นนายกรัฐมนตรีนั้น ทุกจังหวะก้าวและทุกความเคลื่อนไหวมิอาจทำให้คนไทยส่วนใหญ่ในประเทศนี้ไว้วางใจได้สักเรื่องเดียว เรียกว่าเผลอไม่ได้เผลอเป็นมีผลประโยชน์ทับซ้อนเข้ามาเกี่ยวข้องทันที
อย่างประชุม ครม.เมื่อวันที่ 22 เมษายนที่ผ่านมา ก็มีการสอดไส้เรื่อง“ซอฟต์พาวเวอร์”เกี่ยวกับรถยนต์โบราณ ซึ่ง ครม.ได้มีมติเว้นภาษีนำเข้ารถโบราณเพื่อโชว์งานศิลปะเป็นการหนุนซอฟต์พาวเวอร์ไทย
โดยเรื่องนี้อันที่จริงเริ่มมาตั้งแต่รัฐบาลเศรษฐา ทวีสิน โดยที่ประชุมครม.ของรัฐบาลนายเศรษฐมีมติเมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2567เห็นชอบในหลักการการดำเนินการมาตรการส่งเสริมงานศิลปะและรถยนต์โบราณทั้งมาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการซื้องานศิลปะ, มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนศิลปินผู้สร้างสรรค์งานศิลปะ,มาตรการลดหรือยกเว้นอากรขาเข้างานศิลปะ และมาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมรถยนต์โบราณโดยมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาในรายละเอียด ทั้งนี้ ด้วยเห็นว่ามาตรการเหล่านี้จะเป็นการส่งเสริมสนับสนุน“ซอฟต์พาวเวอร์” และสามารถสร้างรายได้ถึง 4 ล้านล้านบาทต่อปี
ผ่านมาปีกว่า ก็มาสำเร็จในรัฐบาลพรรคเพื่อไทยยุค“มาดามแพทองโพย”ซึ่งสาระสำคัญโดยสรุปของมาตรการภาษีรถยนต์เพื่อส่งเสริมรถยนต์โบราณ ที่ ครม.มีมติเห็นชอบจากการแถลงของนายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลังในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง ที่เป็นเจ้าภาพเรื่องนี้ ก็คือ
1.เพิ่มคุณสมบัติรถยนต์โบราณ ให้ครอบคลุมถึงรถยนต์ที่มีอายุเกิน 100 ปี, 2.สนับสนุนการบูรณะรถยนต์โบราณในประเทศ โดยคืนภาษีเต็มจำนวนหากส่งออกภายใน 2 ปีนับแต่ได้มีการนำเข้าสำเร็จ มีสิทธิได้รับคืนภาษีเต็มจำนวนในกรณีส่งออก และ 3.ออกกฎหมาย 2 ฉบับ ได้แก่ร่างกฎกระทรวงกำหนดพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต อัตรา 45 เปอร์เซ็นต์ของราคาขายปลีกแนะนำและร่างประกาศกระทรวงการคลังเกี่ยวกับการลดและยกเว้นอากรศุลกากรสำหรับรถยนต์โบราณที่นำเข้าแบบสำเร็จรูปทั้งคัน (CBU)
ทั้งนี้ โฆษกกระทรวงการคลัง ระบุว่า การดำเนินมาตรการดังกล่าวคาดว่าจะช่วยสร้างรายได้จากภาษีสรรพสามิตเพิ่มขึ้นประมาณ 2 พันล้านบาทต่อปีและยังช่วยกระตุ้นภาคธุรกิจที่เกี่ยวข้อง รวมถึงการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจตลอดจนส่งเสริมการเติบโตของธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมที่เกี่ยวข้องกับการบูรณะและจำหน่ายรถยนต์โบราณในประเทศ
นอกเหนือจากนั้น, นายพรชัย ฐีระเวช ยังกล่าวด้วยว่า การดำเนินมาตรการภาษีรถยนต์โบราณฯ ครั้งนี้ซึ่งครอบคลุมถึงรถยนต์ที่มีอายุเกิน 100 ปี คาดว่าจะช่วยสนับสนุนการท่องเที่ยวในประเทศสร้างมูลค่าเพิ่มและส่งเสริมภาคธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs)ที่เกี่ยวข้องกับการบูรณะรถยนต์โบราณในประเทศให้เกิดการจ้างงานและพัฒนาความรู้และทักษะของแรงงาน
อย่างไรก็ตาม มีเสียงวิจารณ์เกี่ยวกับเรื่องนี้ว่านึกไม่ออกว่า“รถโบราณ”กับ“ซอฟต์พาวเวอร์”เกี่ยวพันกันได้อย่างไร หรือไม่ก็เพียงแค่ข้ออ้างแต่ถ้ามาตรการดังกล่าวนี้ จะเป็นการช่วยเศรษฐีหรือคนในรัฐบาลที่ชอบเล่นรถเก่ารถโบราณซึ่งถือว่าเป็น“ของเล่นคนรวย”แต่ไม่อยากจ่ายภาษี ก็น่าจะสมเหตุสมผลมากกว่าอีกทั้งประเทศไทยก็ไม่เคยผลิตรถยนต์เป็นของตนเอง มีแต่รับจ้างเป็นโรงงานผลิตดังนั้นมาตรการนี้จึงเท่ากับเป็นผลประโยชน์ทับซ้อนเพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับนายทุนที่ทำธุรกิจด้านนี้อีกด้วย
และนับจากนี้ไป ก็คาดการณ์ได้เลยว่า“รถโบราณ”หรือรถยนต์โบราณจะไหลทะลักเข้ามาในประเทศไทยเป็นจำนวนมากโดยเฉพาะการแยกชิ้นส่วนเป็นอะไหล่ แล้วนำเข้ามาประกอบเป็น“รถโบราณ”ส่งออก เนื่องจากมติครม.เมื่อวันที่ 22 เมษายนที่ผ่านมา ขยายคุณสมบัติรถยนต์โบราณให้ครอบคลุมถึงรถยนต์ที่มีอายุเกิน 100 ปี
จากเรื่อง“รถโบราณ”ก็มาถึงเรื่อง“มาดามแพทองโพย”ยกคณะรัฐมนตรีชุดย่อย พร้อมด้วยนายปิฎกสุขสวัสดิ์ สามีคนใต้ ไปเยือนกัมพูชาเมื่อวันที่ 23 เมษายนเมื่อวานนี้ โดยมีกำหนดการสองวัน
แม้กำหนดการจะบอกว่า เป็นไปตามคำเชิญของสมเด็จมหาบวรธิบดี ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชาเพื่อร่วมเฉลิมฉลองในโอกาสครบรอบ 75 ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทยกับกัมพูชาก็ตาม แต่ก็ทำให้อดคิดไม่ได้ว่า มีอะไรนอกเหนือจากนั้นหรือไม่
เพราะการเยือนประเทศกัมพูชาของ“มาดามแพทองโพย”ครั้งนี้ นอกเหนือจากวาระดังกล่าวแล้วรัฐบาล“แพทองโพย”ยังใช้โอกาสนี้ในการขับเคลื่อนความสัมพันธ์และความร่วมมือระหว่างทั้งสองประเทศให้ใกล้ชิดยิ่งขึ้น ทั้งในเรื่องความร่วมมือด้านความมั่นคง,การแก้ปัญหาข้ามแดน, เศรษฐกิจ, ความร่วมมือเพื่อการพัฒนา และความสัมพันธ์ในระดับประชาชนรวมถึงการส่งเสริมความร่วมมือในระดับภูมิภาค
ในสี่ห้าข้อที่“มาดามแพทองโพย”หารือกับทางฝ่ายกัมพูชานั้น ก็อดห่วงไม่ได้ว่ามีการหารือแบบลับๆ ล่อๆกับ“ฮุน เซน”เพื่อนเลิฟของบิดา โดยเป็นตัวแทนของบิดาถือสาส์นไปเจรจาแบบปิดห้องคุยแล้วเปิดวีดีโอคอลให้ผู้ทรงอำนาจแห่ง“บ้านจันทร์ส่องหล้า”คุยกันกับผู้ทรงอำนาจแห่งเขมรว่าด้วย“พลังงานเชื้อเพลิง”ที่เป็นขุมทรัพย์ใต้ทะเลมูลค่า 20 ล้านล้านบาท บริเวณเกาะกูดจังหวัดตราดของไทย
เพราะเวลานี้เรื่อง “MOU 44” เกี่ยวกับพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อนทางทะเลในไหล่ทวีปที่รัฐบาลไทยรักไทยซึ่งมี“ทักษิณ ชินวัตร”เป็นนายกรัฐมนตรีทำไว้กับกัมพูชาตั้งแต่ปี 2544 ยัง“หยุดอยู่กับที่”ไม่คืบหน้าไปถึงไหน เนื่องจากยังไม่มีการตั้งคณะกรรมการ“JTC”หรือคณะกรรมการร่วมทางเทคนิคระหว่างไทยกับพูชา หลังจากภาคประชาชนคนไทยและองค์กรต่างๆลุกขึ้นมาประท้วงและเรียกร้องให้รัฐบาลยกเลิก“MOU 44”ตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว
ขณะที่ในประเทศไทยนั้น เวลานี้รับรู้กันโดยทั่วไปว่า“กลุ่มทุนการเมือง”ใช้นอมินีกว้านซื้อหุ้น“บมจ.บางจาก คอร์ปอเรชั่น” (BCP) ซึ่งในปัจจุบันนี้มี พล.ต.อ.สุวัฒน์แจ้งยอดสุข อดีต ผบ.ตร.ที่ว่าเป็นสายตรงของ“ทักษิณ ชินวัตร” นั่งเก้าอี้ประธารกรรมการบริษัทจนกลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 1 ไปเรียบร้อยแล้ว
สรุปทิ้งท้ายไว้ตรงนี้ว่า-BCP คือกลไกลสำคัญที่จะใช้เป็นฐานลงทุนในพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อนทางทะเลในไหล่ทวีปที่เกาะกูดและเพื่อผลประโยชน์ทับซ้อนแบบ“50 : 50”ระหว่างฝ่ายไทยกับกัมพูชา !
รุ่งเรือง ปรีชากุล
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี