ฝ่ายค้าน พรรคส้ม กำลังทำหน้าที่ฝ่ายค้านแบบ ค้านไป กลัวพรรคเพื่อไทยจะไม่ยอมจับมือร่วมรัฐบาลสมัยหน้าไปด้วย หรือไม่?
เพราะทำเหมือนล้มมวย อ่อนข้อ ไม่ยอมใช้กลไกตรวจสอบตามรัฐธรรมนูญแบบเต็มสูบสุดซอย
1. วันก่อน นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร รองหัวหน้าพรรค ปชน. อุตส่าห์แถลงข่าว เพราะถูกสังคมทวงถามว่าหลังอภิปรายดำเนินการอะไรต่อไปอีก
ระบุว่า การดำเนินการทางกฎหมาย และกระบวนการต่างๆ หลังอภิปรายไม่ไว้วางใจน.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี มีการดำเนินการทั้งสิ้น 3 เรื่อง
1.1 กรณีนายกฯ ใช้ “ตั๋วสัญญาใช้เงิน” หรือ “ตั๋ว P/N” 9 ฉบับ โดยไม่กำหนดชำระเงินไม่มีดอกเบี้ย
สร้างกระบวนการให้ดูเสมือนว่าซื้อหุ้นจากครอบครัวและเครือญาติ รวมมูลค่ากว่า 4.4 พันล้านบาท
ทั้งที่ความเป็นจริง การดำเนินการดังกล่าวถูกตั้งข้อสงสัยว่า หลีกเลี่ยงภาษีการรับให้มูลค่า 218 ล้านบาทหรือไม่
กรณีของนายกฯ เมื่อ 28 มี.ค.ที่ผ่านมา เราได้ยื่นหนังสือถึงอธิบดีกรมสรรพากรเรียบร้อยแล้ว ขอให้อธิบดีฯดำเนินการตามมาตรา 13 (7) แห่งประมวลรัษฎากร เพื่อให้คณะกรรมการวินิจฉัยภาษีอากร ได้วินิจฉัยกรณีนี้ว่า การซื้อหุ้น 4.4 พันล้านบาทจากบุคคลในครอบครัว โดยใช้ตั๋ว P/N ดังกล่าว เป็นนิติกรรมอำพรางเพื่อหลีกเลี่ยงภาษีการรับให้หรือไม่ เพื่อให้เป็นธรรมกับการจัดเก็บภาษีต่อคนไทยทุกคน
กรณีนี้ยืนยันตรวจสอบได้ไม่ยาก ไม่ว่าตรวจสอบสัญญาการซื้อขายว่ามีอยู่จริงหรือไม่ เงื่อนไขในสัญญาสอดคล้องกับธุรกรรมซื้อหุ้นทั่วไปหรือไม่ ตรวจสอบตั๋ว P/N ย้อนหลังของนายกฯ
ที่เคยทำกันมาว่า เคยมีการชำระหนี้กันจริงหรือไม่ มีการพิจารณาต่อได้อีกว่า นำเงินปันผลมาชำระค่าหุ้นบ้างหรือเปล่า ทั้งหมดนี้คือ พยานบ่งชี้ว่า นายกฯ มีเจตนาซื้อหุ้นจริงหรือจัดฉากเพื่อหลีกเลี่ยงภาษี
เชื่อว่า พฤติกรรมดังกล่าวนี้ของนายกฯ จะเป็นการทำนิติกรรมอำพราง เพื่อหลีกเลี่ยงภาษี ต้องติดตามการชำระภาษีย้อนหลัง และแจ้งต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริต
แห่งชาติ (ป.ป.ช.) เพื่อไต่สวน 2 ประเด็นต่อไป ไม่ว่าจะเป็นการทำนิติกรรมอำพรางเลี่ยงภาษีเข้าข่ายผิด 172 แห่ง พ.ร.ป.ป.ป.ช. รวมทั้งการยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินอันมีข้อความอันเป็นเท็จตามมาตรา 167 ของ พ.ร.ป.ป.ป.ช. เพื่อไต่สวน และชี้มูลความผิดนายกฯต่อไป
1.2 โฉนด 10 แปลงที่ตั้งโรงแรมเทมส์ วัลลีย์ เขาใหญ่
เชื่อได้ว่า การออกโฉนด 4 แปลง เป็นการออกโฉนดโดยคลาดเคลื่อน หรือไม่ชอบด้วยกฎหมาย
พรรค ปชน. เมื่อ 28 มี.ค.ได้ยื่นหนังสือกับอธิบดีกรมที่ดิน ดำเนินการเพิกถอนโฉนดที่ตั้งโรงแรมดังกล่าวเรียบร้อยแล้ว ทางพรรค ปชน. ก็จะติดตามกรณีนี้ ต่อไป
1.3 ข้อสงสัยอดีตนายกฯ “ทักษิณ ชินวัตร” บิดา น.ส.แพทองธาร นายกฯ ได้รับอภิสิทธิ์เหนือผู้ต้องขังรายอื่น
เป็นการทำลายหลักนิติรัฐ ซึ่งกำหนดให้ประชาชนต้องมีความเสมอภาคต่อหน้ากฎหมาย และอยู่ภายใต้บรรทัดฐานเดียวกัน
ในฐานะนายกฯ บุตรสาวของนายทักษิณ ข้อเท็จจริงต้องทราบถึงอาการเจ็บป่วย รวมถึงการได้รับสิทธิ์ หรืออภิสิทธิ์ใดๆ ของคุณพ่ออย่างชัดเจนแต่แรก เมื่อสังคมวิพากษ์วิจารณ์สะท้อนความไม่สมเหตุสมผล บริบทโดยรอบ การได้รับสิทธิ์รักษาพยาบาล รวมถึงความลักลั่นในการได้รับสิทธิ์ของผู้ต้องขังรายอื่น นายกฯ แทนที่จะดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริง และชี้แจงสาธารณะด้วยความสุจริตโปร่งใส แต่กลับบ่ายเบี่ยงซ่อนเร้น อำพรางข้อเท็จจริง ปล่อยให้ความคลุมเครือยังคงดำรงอยู่จนถึงปัจจุบัน บั่นทอนความเชื่อมั่นของหลักนิติรัฐและกฎหมาย
พรรคเชื่อว่า มีการกระทำผิดตามมาตรา 172 ของ พ.ร.ป.ป.ป.ช. ที่ระบุถึงเจ้าพนักงานของรัฐที่ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดอย่างหนึ่งในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยทุจริต และผิดตามมาตรา 11 (1) ของ พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการแผ่นดินฯ โดยมิได้สั่งการให้สอบสวนข้อเท็จจริงในการปฏิบัติงานของหน่วยราชการที่เกี่ยวข้อง เช่น กรมราชทัณฑ์ โรงพยาบาลตำรวจ และโรงพยาบาลเรือนจำ เป็นต้น
กรณีนี้ พรรคมอบหมายให้นายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ ร้องต่อ ป.ป.ช. เพื่อให้ดำเนินการไต่สวน และชี้มูลความผิดนายกฯ ต่อไป
2. พรรคส้มไม่ยื่นให้ตรวจสอบนายกฯฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรม
มีข้อเรียกร้องที่ต้องการให้พรรคประชาชน ใช้กลไกจริยธรรมตามรัฐธรรมนูญ เป็นเครื่องมือจัดการกับนายกฯ
ไม่ว่าจะเป็น การเข้าชื่อยื่นประธานสภาฯ ส่งคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยตามมาตรา 170 วรรคสาม ประกอบมาตรา 82 เพื่อถอดถอนนายกฯ ตามมาตรา 170 วรรค1(4) เนื่องจากไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ และมาตรา 160(4) ว่าด้วยพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืน หรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง อันมีลักษณะต้องห้ามตามตามมาตรา 160(5)
หรือ ข้อเสนอให้พรรคประชาชนดำเนินการตามมาตรา 235 (1) ประกอบมาตรา 244 (1) ของรัฐธรรมนูญ เพื่อให้ป.ป.ช.ไต่สวนกรณีฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง เพื่อส่งเรื่องให้กับศาลฎีกาวินิจฉัยต่อไป
นายวิโรจน์อ้างว่า ในเรื่องของจริยธรรมบุคคลที่ดำรงตำแหน่งนายกฯ ซึ่งมีอำนาจรัฐอยู่ในมือและยังแบกรับหน้าที่และความรับผิดชอบในทางสาธารณะในระดับที่สูง หากถูกสังคมและประชาชนตั้งคำถามถึงความมีจริยธรรมอย่างต่อเนื่องและไม่อาจชี้แจงข้อเท็จจริงได้จนสิ้นข้อสงสัย
“นายกฯ ควรต้องมีโอตัปปะ มีความสำนึกในตนเองพิจารณาความเหมาะสมของตนเองและแสดงความรับผิดชอบต่อสาธารณะ ด้วยการลาออกจากตำแหน่งโดยสมัครใจ ไม่จำเป็นต้องให้บุคคลใดกลุ่มใดซึ่งเป็นมรดกบาปของการทำรัฐประหาร ขาดความชอบธรรมทางประชาธิปไตย และไม่ยึดโยงกับเจตจำนงของประชาชน มาเป็นผู้ชี้นิ้วไล่ให้ออกจากตำแหน่ง เพราะนั่นจะเป็นการทำร้ายเกียรติภูมิของตำแหน่งนายกฯ ในระบอบประชาธิปไตย อย่างไม่อาจประเมินค่าได้” นายวิโรจน์กล่าว
นายวิโรจน์ อ้างว่า เราจะไม่ใช้กลไกที่ไม่ชอบธรรมในการจัดการกับสิ่งที่ไม่ชอบธรรมอย่างเด็ดขาด หากเราทำเช่นนั้นบ้านเมืองก็จะติดอยู่ในวงเวียนนิติสงครามที่คณะทหารได้วางหลุมพรางเอาไว้
3. คำกล่าวอ้างข้างต้น ฟังไม่ขึ้นเลย
สส.พรรคส้ม เพิ่งยื่นต่อประธานสภา เพื่อเล่นงาน ป.ป.ช. ในประเด็นจริยธรรมไปหยกๆ !!!
ไม่น่าเชื่อว่า วันนี้ จีบปากจีบคออ้างไปอีกอย่าง
นอกจากนี้ พรรคส้ม ก็เคยใช้กระบวนการตรวจสอบผ่านทางศาลรัฐธรรมนูญหลายครั้ง เพื่อจะเล่นงานให้รัฐมนตรีในรัฐบาลที่แล้ว พ้นจากตำแหน่งหน้าที่
ไล่มาตั้งแต่พยายามเล่นงานนายกฯลุงตู่ โดยร่วมกับพรรคเพื่อไทยส่งศาลรัฐธรรมนูญให้วินิจฉัยให้พลเอกประยุทธ์พ้นจากตำแหน่ง 3 ครั้ง (ประเด็นคดีขาดคุณสมบัติเนื่องจากเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ประเด็นพักบ้านหลวง ประเด็นดำรงตำแหน่งนายกฯ ครบ 8 ปี)
พรรคส้มเคยยื่นศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยเล่นงานร้อยเอกธรรมนัส
พรรคส้มเคยยื่นศาลรัฐธรรมนูญเล่นงานนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ
ทั้งหมด เป็นการอาศัยศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ซึ่งเป็นกลไกตามรัฐธรรมนูญ พรรคส้มก็เคยใช้บริการ เล่นงานรัฐมนตรีที่ตนเองมองว่าอยู่คนละขั้วการเมืองกัน
แต่มาครั้งนี้ ตรวจสอบนายกฯ แพทองธาร พรรคเพื่อไทย พรรคส้มกลับอ้างว่า จะไม่ใช้กลไกศาลรัฐธรรมนูญ และประเด็นเรื่องจริยธรรม!?
เหตุผลจริงๆ คืออะไรกันแน่?
น่าสงสัยว่า เพราะยังมองว่าพรรคเพื่อไทยมีโอกาสจับมือกับพวกตนเป็นรัฐบาล ตามดีลลับฮ่องกงอยู่ ใช่หรือไม่?
แม้จะต้องรอสมัยหน้า ก็ยังจะถ่างขารอต่อไป?
4. ข้อสังสัยข้างต้น ยิ่งน่าสงสัยมากขึ้น เมื่อย้อนกลับไปดูข้อมูลที่พรรคส้มเคยนำเสนอกล่าวหานายกฯ อุ๊งอิ๊งค์อย่างดุเดือด
หากพรรคส้มเชื่อว่าเป็นข้อมูลความจริง ก็ควรนำเข้าสู่กระบวนการตรวจสอบตามรัฐธรรมนูญ เพื่อยับยั้งมิให้บุคคลเช่นนี้เป็นนายกฯ ต่อไปโดยเร็วที่สุด เพราะยิ่งอยู่ต่อ ยิ่งเสียหาย
นายวิโรจน์ เปิดข้อมูลในสภา ว่าด้วยเรื่องการเลี่ยงภาษีของแพทองธาร ระบุว่าเป็นการเอาเปรียบประชาชนที่ต้องเสียภาษีตามกฎหมาย อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้และไม่มีความซื่อสัตย์สุจริต
นายวิโรจน์กล่าวในรายละเอียดว่า แพทองธารมีพฤติการณ์หลีกเลี่ยงภาษีโดยการโอนหุ้น 19 บริษัท มูลค่าหุ้น 9,330.5 ล้านบาท แต่วิโรจน์ได้เน้นการโอนหุ้น 2 บริษัทให้กับแม่และพี่สาวมูลค่า 393.5 ล้านบาทว่าโอนด้วยวิธีการใด เป็นการขายหรือให้หุ้นกันแน่ โดยทั้ง 2 บริษัท ได้แก่ บริษัท อัลไพน์ แอนด์ สปอร์ตคลับ จำกัด จำนวน 22,410,000 หุ้น มูลค่า 224.1 ล้านบาท ให้กับพจมาน ดามาพงศ์ 4 ก.ย.2567 และบริษัท ประไหมสุหรี พร้อพเพอร์ตี้ จำกัด 16,949,990 หุ้น มูลค่า 169.4 ล้านบาท ให้กับ พินทองทา ชินวัตร
วิโรจน์ชี้ว่า ถ้าเป็นการให้ ทั้งพจมานและพินทองทาจะต้องจ่ายภาษีมูลค่ารวม 18.2 ล้านบาท จากการรับโอนหุ้นจากแพทองธาร
นายวิโรจน์ยังระบุถึงบัญชีหนี้สินของแพทองธารที่ทำให้เห็นว่าเป็นลูกหนี้อยู่ 9 รายการมีมูลค่า 4,434.5 ล้านบาท
แจกแจงว่าเอกสารประกอบหนี้สินดังกล่าวมีเอกสารแค่ 9 แผ่น ซึ่งเป็นตั๋วสัญญาใช้เงิน (Promissory Note) หรือ ตั๋ว P/N ไม่ใช่สัญญาเงินกู้
อธิบายว่า แพทองธารซื้อหุ้นจากพี่สาว พี่ชาย ลุงและป้าสะใภ้ เป็นการซื้อหุ้นโดยซื้อเชื่อด้วยตั๋ว P/N แทนการจ่ายเงิน และตั๋วดังกล่าวมีเงื่อนไขว่า จะมีการจ่ายเงินเมื่อถูกทวงถามโดยไม่มีดอกเบี้ย
เรื่องนี้เป็นเรื่องต้องสงสัยว่าจะใช้ตั๋ว P/N มาอำพรางการให้หุ้น มาเป็นการซื้อหุ้น เพื่อหลีกเลี่ยงภาษีการรับให้ เพื่อเลี่ยงการจ่ายภาษีแก่แผ่นดิน และตั๋วเหล่านี้ยังออกหลังจาก 1 ก.พ. 2559 หลังจากกฎหมายบังคับใช้แล้วทั้งสิ้น
“หากแพทองธารได้หุ้นมาจะต้องเสียภาษีการรับให้กับกรมสรรพากร แต่ถ้าเป็นการซื้อก็จะไม่ต้องจ่าย และหลักเกณฑ์การจ่ายภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจะใช้เกณฑ์เงินสด ดังนั้น รายได้จะได้รับการประเมินก็ต่อเมื่อมีการรับเงินสดกันจริง แต่เมื่อเป็นการซื้อหุ้นด้วยตั๋ว P/N ที่ไม่มีการจ่ายเงินกันจริง ทำให้ทั้งแพทองธารและเครือญาติที่มีการขายหุ้นให้ไม่ต้องเสียภาษี และต่อให้มีการภาษีย้อนหลังกันก็อาจไม่ต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาอยู่ดี เพราะการซื้อขายหุ้นนอกตลาดหลักทรัพย์ เฉพาะส่วนเกินมูลค่าหุ้นเท่านั้นจึงถือว่าเป็นรายได้พึงประเมิน ถ้าเครือญาติเหล่านี้ขายหุ้นราคาพาร์หรือราคาทุนก็ไม่ต้องจ่ายภาษีเลย จากการทำเป็นซื้อ แทนการรับให้ เพื่อเลี่ยงการจ่ายภาษีนี้..”
นายวิโรจน์ตั้งคำถามว่า คนที่หลีกเลี่ยงภาษีแบบนี้ ยังสมควรเป็นนายกรัฐมนตรีหรือไม่ เพราะกฎหมายบัญญัติประชาชนทุกคนมีหน้าที่ต้องเสียภาษี แล้วแพทองธารยังทำหน้าที่ไม่ได้
พร้อมระบุว่า ภาษีที่แพทองธารจะต้องจ่ายจากการรับโอนหุ้นจากเครือญาติรวมทั้งหมด 218.7 ล้านบาท และการโอนย้ายหุ้นลักษณะนี้เคยเกิดขึ้นมาแล้วในตระกูลชินวัตรที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วตั้งแต่ปี 2544 มาแล้วในกรณีการโอนหุ้นให้กับคนขับรถ
รองหัวหน้าพรรคส้มย้ำด้วยว่า ปัญหาของการใช้ตั๋ว P/N แบบนี้ หากยอมรับให้เกิดขึ้นได้ ก็จะถูกเอาไปใช้ในการติดสินบนเจ้าหน้าที่รัฐเกิดการทุจริตคอร์รัปชั่นได้ ไปจนถึงอาจถูกเอามาใช้ในการฟอกเงินได้
ประการสำคัญ นายวิโรจน์ยังได้กล่าวว่า ประเด็นที่นายกรัฐมนตรีจะต้องมีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ และจะต้องไม่มีพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง ตามรัฐธรรมนูญด้วยที่บังคับใช้กับรัฐมนตรีด้วย ซึ่งพฤติกรรมหลีกเลี่ยงภาษีแบบนี้เห็นได้ว่าแพทองธารทุจริตเป็นที่ประจักษ์ หลังจากนี้ จะมีการร้องไปที่ ป.ป.ช. แน่ๆ และป.ป.ช.ก็มีอำนาจในการไต่สวนและส่งสำนวนให้ศาลฎีกาต่อไป ซึ่งเชื่อว่าพฤติกรรมแบบนี้ยังไงก็ไม่รอด ซึ่งหากมี สส.ยกมือไว้วางใจให้กับแพทองธารดำรงตำแหน่งต่อไปก็ยังอาจเข้าข่ายฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรมอันเป็นค่านิยมหลัก ข้อ 19 เรื่องการคบหาสมาคมกับผู้ประพฤติผิดกฎหมาย หรือผู้มีความประพฤติ หรือผู้ที่มีชื่อเสียงในทางเสื่อมเสีย อันกระทบกระเทือนต่อความเชื่อถือศรัทธาของประชาชนในการปฏิบัติหน้าที่ ก็อาจเข้าข่ายการฝ่าฝืน หรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรงได้เช่นเดียวกัน
มาวันนี้ ส้มพลิกลิ้น
ส้มไม่ยื่นปมจริยธรรม !!!!
จะไม่ให้สังคมสงสัยได้อย่างไรว่า ส้มอาจล้มมวย หรือเกรงใจพรรคเพื่อไทย กลัวเขาจะไม่จับมือให้เป็นรัฐบาลในสมัยหน้าด้วย!
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี