สถานการณ์รุนแรงในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่กลับมาปะทุเป็นเหตุรายวันในระยะนี้ น่าเป็นห่วงเพราะเป็นการกระทำที่ท้าทายอำนาจรัฐ ในยุคที่รัฐบาลพรรคเพื่อไทยภายใต้การ“กดปุ่ม-สั่งการ”ของอดีตนักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตรผู้ซึ่งก่อความแค้นไว้ให้แก่คนไทยมุสลิมในจังหวัดชายแดนภาคใต้เมื่อ 21 ปีที่แล้ว
ล่าสุดก็เพิ่งเกิดขึ้นที่อำเภอสะบ้าย้อย จังหวัดสงขลา เมื่อเช้าวันที่ 22 เมษายนที่ผ่านมากลุ่มผู้ก่อความไม่สงบใช้อาวุธปืนยิงรถยนต์กระบะของ ร.ต.ท.วัฒนา ชูมาปาน เจ้าหน้าที่ตำรวจสภ.สะบ้าย้อย บริเวณถนนสวนโอน บ้านคลองเรียน ห่างจากวัดกูหลา ประมาณ 500 เมตรขณะขับรถที่รับพระและสามเณร 6 รูป เพื่อไปบิณฑบาตรในเขตเทศบาลสะบ้าย้อย
เหตุที่น่าเศร้าสลดครั้งนี้ ทำให้สามเณรพงษ์กร ชูมาปาน อายุ 16 ปี บุตรชายของ ร.ต.ท.วัฒนา ชูมาปานเสียชีวิต และสามเณรโภคนิษฐ์ โมราศิลป์ อายุ 12 ปี ได้รับบาดเจ็บ
และนี้คือการกระทำที่เป็นการท้าทายอำนาจรัฐโดยตรง ที่พูดอย่างนี้ก็เพราะเป็นเหตุซึ่งเกิดขึ้นก่อนหน้าที่นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มีหมายกำหนดการจะเดินทางลงไปพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ระหว่างวันที่ 26-27 เมษายนนี้
เป้าหมายในการลงพื้นที่จังหวัดชายภาคใต้ของนายภูมิธรรม เวชยชัย ก็เพื่อพูดคุยกับกลุ่มนักธุรกิจ,นายอำเภอ, ผู้กำกับสถานีตำรวจ, กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า, หัวหน้าระดับผู้บังคับกองพัน จนถึงผู้การกรมโดยนายภูมิธรรมได้วางแผนที่จะแยกการพูดคุยทีละกลุ่มตลอด 2 วันที่ลงพื้นที่และอาจจะเป็นการพูดคุยครั้งสุดท้าย ก่อนที่จะมีการประมวลผลสรุปเป็นยุทธศาสตร์ในการ“ดับไฟใต้”รวมทั้งยังเป็นการเตรียมการเพื่อที่จะประชุมพิจารณายกเลิกประกาศกฎอัยการศึกในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ 4 อำเภอของจังหวัดสงขลา คือ จะนะ, เทพา, สะบ้าย้อย และนาทวี
ปรากฏว่าหลังเกิดเหตุ นายภูมิธรรม เวชยชัย ยกเลิกกำหนดการทันทีทั้งนี้จากการให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวในวันที่ 22 เมษายนซึ่งเป็นวันเดียวกันกับที่เกิดเหตุการณ์นายภูมิธรรมอ้างว่า จะต้องคิดหาทางแก้ปัญหาให้จบก่อน และนอกจากนั้นนางสาวแพทองธาร ชินวัตรนายกรัฐมนตรี ที่อยู่ระหว่างการเยือนประเทศกัมพูชา ก็ยังไม่กลับ จึงต้องเลื่อนกำหนดการเดินทางออกไปเพราะมีเรื่องต้องเคลียร์อีกหลายเรื่อง
หากพิจารณาจากคำสัมภาษณ์ของนายภูมิธรรม เวชยชัย ก็ย่อมแสดงให้เห็นว่าแม้แต่รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของประเทศนี้ก็ยังไม่มั่นใจความปลอดภัยของตนเอง ถ้าจะพูดภาษาชาวบ้านก็ต้องบอกว่าแม้แต่“สหายใหญ่”อดีตแนวร่วมพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยที่ชื่อภูมิธรรมซึ่งนั่งเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมก็ยัง“กลัวตาย”
อย่างไรก็ตาม ที่น่าเป็นห่วงยิ่งไปกว่านั้นอันจะทำให้สถานการณ์ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้รุนแรงหนักยิ่งขึ้นไปอีก นั่นก็คือหลังเกิดเหตุการณ์“สามเณรถูกยิงเสียชีวิต” นายภูมิธรรม เวชยชัย ได้สั่งการฝ่ายทหารและและตำรวจโดยขีด“เส้นตาย 7 วัน”ต้องเห็นผล ซึ่งนายภูมิธรรมให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 23เมษายนหลังเกิดเหตุได้หนึ่งวันว่า
“เมื่อคืนวันที่ 22 เมษายนได้โทรศัพท์พูดคุยกับผู้บัญชาการทหารบก ซึ่งมีภารกิจอยู่ที่สิงคโปร์และได้พูดคุยกับผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติด้วย โดยอยากให้มีมาตรการที่ชัดเจนไม่ว่าจะเป็นการเปิดปฏิบัติการหรืออะไรก็ตาม ต้องทำให้เป็นเชิงรุกและทำให้สถานการณ์ยุติอย่างเห็นได้ชัดโดยเร็ว ซึ่งทั้ง ผบ.ทบ.และ ผบ.ตร.รับปฏิบัติใครที่ขาดหรือจำเป็นต้องเสริมให้แจ้งมา และขอให้ปฏิบัติตามหน้าที่ที่ควรกระทำอย่างเต็มที่และเป็นในเชิงรุก และเมื่อเช้านี้ผมก็ได้พูดคุยกับแม่ทัพภาคที่ 4 ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 9และรองปลัดกระทรวงมหาดไทย รวมไปถึงเลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้(ศอ.บต.)”
การ“ขีดเส้นตาย 7 วัน”เพื่อปฏิบัติการเชิงรุกดังกล่าวของนายภูมิธรรม เวชยชัยก็ไม่ต่างจากยุคของ“ทักษิณ ชินวัตร” ในการแก้ปัญหาด้วยการใช้วิธี“ตาต่อตา-ฟันต่อฟัน”ซึ่งเท่ากับเพิ่มรอยแค้นขึ้นมาอีก และเรื่องนี้นายไชยยงค์ มณีรุ่งสกุล สมาชิกวุฒิสภา จังหวัดสงขลาได้แสดงความเห็นจากการให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวเมื่อวันที่ 24 เมษายนเมื่อวานนี้ไว้น่าคิดว่า
“เหตุความรุนแรงในจังหวัดชายแดนภาคใต้ เกิดมาอย่างยาวนาน ตั้งแต่ปี 2547 เป็นต้นมา เป็นเวลา 21 ปีจึงเป็นไปไม่ได้ ที่จะให้สถานการณ์ความรุนแรง และความไม่สงบคลี่คลายใน 7 วันเพราะถ้าสถานการณ์ของจังหวัดชายแดนภาคใต้ แก้ง่ายอย่างนั้นเรื่องความรุนแรงของจังหวัดชายแดนภาคใต้คงยุติไปก่อนที่นายภูมิธรรมจะมาเป็นรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง และรัฐมนตรีฯกลาโหมการขีดเส้นเพื่อกดดันให้เจ้าหน้าที่ต้องเร่งรัดในการยุติปัญหาความรุนแรงใน 7 วันแม้แต่ในเคสของการยิงสามเณร ก็ทำได้ไม่ง่าย เพราะเจ้าหน้าที่ต้องรวมรวมพยานหลักฐาน พยานบุคคลต้องมีการนำวัตถุพพยานเพื่อหาดีเอ็นเอ ไปเชื่อมโยงกับเหตุการณ์อื่นๆ ที่เกิดขึ้น”
นายไชยยงค์ มณีรุ่งสกุล ยังกล่าวด้วยว่า “รัฐบาลโดยนายภูมิธรรม เวชยชัยทำหน้าที่รับผิดชอบเรื่องความไม่สงบของจังหวัดชายแดนภาคใต้เกือบ 2 ปีแต่ไม่กล้าตัดสินใจปัญหาของจังหวัดชายแดนภาคใต้ ไม่มีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงอะไรทั้งในเรื่องของกฎหมาย ในเรื่องยุทธศาสตร์ ในเรื่องยุทธวิธี ปล่อยให้ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้าและสภาความมั่นคงแห่งชาติ รำวงกันไปเรื่อยๆ เป็นการเดินบนเส้นทางเก่า ที่เดินมาแล้ว 21 ปีเพื่อไปสู่แสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ แต่เป็นการเดินผิดทางเพราะบีอาร์เอ็นใช้เส้นทางสายใหม่ในการต่อสู้กับอำนาจรัฐ..เส้นทางที่ฝ่ายรัฐบาลเดินอยู่เป็นทางตันและแม้แต่เรื่องการขับเคลื่อนการเจรจาสันติภาพ กับบีอาร์เอ็น นายภูมิธรรมก็กล้าๆ กลัวๆ ไม่มีความคืบหน้ามีแต่ประชุมรับฟังข้อมูล จากฝ่ายนั้นฝ่ายนี้ แต่ไม่กล้าตัดสินใจการแก้ปัญหาความรุนแรงในจังหวัดชายแดนภาคใต้ภายในอุ้งมือของนายภูมิธรรมจึงไม่ได้ผลและทำให้สถานการณ์รุนแรงยิ่งขึ้น”
ข้อเสนอแนะของ สว.ไชยยงค์ มณีรุ่งสกุล ซึ่งเป็น สว.ในกลุ่มอาชีพ“สื่อสารมวลชน”และเป็นอดีตนายกสมาคมนักหนังสือพิมพ์ภูมิภาคแห่งประเทศไทยและนายกสมาคมหนังสือพิมพ์ภาคใต้แห่งประเทศไทยที่ผ่านงานข่าวในพื้นที่จากการเป็น“นักข่าวหัวเห็ด”ของหนังสือพิมพ์เดลินิวส์มาอย่างยาวนานและโชกโชนที่เสนอให้นายภูมิธรรม เวชยชัย พิจารณา-คือ
“การแก้ปัญหาที่ตรงประเด็นที่สุดและสิ่งที่เจ้าหน้าที่ซึ่งปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่ของจังหวัดชายแดนภาคใต้เรียกร้อง คือการออกกฎหมายการก่อการร้าย เพื่อให้ตำรว-ทหาร สามารถมีเครื่องมือที่มี ประสิทธิภาพในการดำเนินการกลุ่มก่อการร้าย ที่ ณ วันนี้ ไม่ใช้ สถานการณ์การก่อความไม่สงบแต่เป็นสถานการณ์การก่อการร้าย ที่ต้องมีเครื่องมือใหม่ คือ กฎหมายการก่อการร้าย วันนี้ เจ้าหน้าที่ต้องใช้ พรก.ฉุกเฉิน และกฎอัยการศึก ที่เป็น กฎหมายที่ล้าหลัง และเป็นกฎหมายพิเศษ ที่เป็นการ‘เรียกแขก’ให้กล่าวหาเจ้าหน้าที่ ในการละเมิดสิทธิเสรีภาพของประชาชร กลายเป็นการปฏิบัติหน้าที่ที่เข้าทางของขบวนการบีอาร์เอ็น ในการเรียกร้อง-ร้องเรียน ต่อองค์กรสิทธิมนุษย์ชนและเป็นสาเหตุหนึ่ง ที่เจ้าหน้าที่ไม่กล้าในการปฏิบัติหน้าที่ เพราะกลัวถูกร้องเรียนและไม่มีใครช่วยเมื่อเกิดเหตุร้องเรียน”
บรรทัดนี้ก็คงต้องบอกว่า “เส้นตาย 7 วัน” ที่“สหายใหญ่-ภูมิธรรม เวชยชัย”ขีดไว้นั้นควรใช้กับตนเองมากกว่า ว่าสมควรจะอยู่หรือไปเพราะตั้งแต่เป็นรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีมาตั้งแต่สมัยรัฐบาลเศรษฐา ทวีสิน จนมาถึง“รัฐบาลแพทองโพย” ยังไม่เห็นว่าทำงานอะไรสำเร็จเป็นชิ้นเป็นอันนอกจาก“กินข้าวเน่ายิ่งลักษณ์โชว์”
คุณหนูอุ๊งอิ๊งค์นายหญิงน้อยของ“อาอ้วน”ก็ยังบอกว่า “ความจริงแล้วใดๆ ในโลกล้วนอนิจจังไม่ว่าตำแหน่งทุกอย่าง หรือแม้แต่ตำแหน่งของนายกฯ”
ดังนั้น-ลาออกไปเสียเถอะ“ภูมิธรรม เวชชัย”!
รุ่งเรือง ปรีชากุล
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี