การยึดทรัพย์นักการเมืองที่กระทำผิดในคดีทุจริตจำนำข้าว จะเกิดขึ้น 2 แบบ ได้แก่
ยึดทรัพย์อันเนื่องมาจากร่ำรวยผิดปกติ
และยึดทรัพย์เนื่องจากถูกเรียกค่าเสียหายชดใช้คืนแผ่นดิน
1.โครงการจำนำข้าว “ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ ยิ่งลักษณ์เป็นนายกฯ” ทิ้งความเสียหายไว้กับประเทศชาติมหาศาล เป็นผลจากการทุจริต ทำให้รัฐขาดทุนมากกว่าที่ควรจะเป็น
ปัจจุบัน รัฐยังมีภาระจะต้องใช้หนี้คืน ธ.ก.ส.อยู่อีกกว่า 2 แสนล้านบาท
2.ภูมิ สาระผล ร่ำรวยผิดปกติ ยึดทรัพย์ 19 ล้านบาท
ล่าสุด คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีมติชี้มูลความผิด นายภูมิ สาระผล อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ฐานร่ำรวยผิดปกติ โดยมีทรัพย์สินมากผิดปกติ หรือมีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นมากผิดปกติ มูลค่ารวม 19,947,750 บาท
ทรัพย์สินที่ร่ำรวยผิดปกติ อยู่ในชื่อของคู่สมรส บุตร โดยมีทั้งเงินที่นำไปชำระค่ารถ เงินฝากในบัญชีธนาคาร เงินที่ได้มาจากการขายที่ดิน ฯลฯ
คณะกรรมการ ป.ป.ช. ให้ส่งรายงาน สำนวนการไต่สวน เอกสาร พยานหลักฐาน และความเห็นไปยังอัยการสูงสุดเพื่อดำเนินการยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เพื่อขอให้ศาลสั่งให้ทรัพย์สินที่ร่ำรวยผิดปกติตกเป็นของแผ่นดิน
อย่างไรก็ดี การชี้มูลความผิดของคณะกรรมการ ป.ป.ช.ยังไม่สิ้นสุด ผู้ถูกกล่าวหายังเป็นผู้บริสุทธิ์ จนกว่าศาลจะมีคำพิพากษาตัดสินชี้ขาด
พฤติการณ์ของนายภูมิ ที่ทำให้ต้องคำพิพากษาจำคุกในคดีทุจริตข้าวจีทูจี อาทิ
...ทำหน้าที่เป็นประธานที่ประชุมอนุกรรมการพิจารณาระบายข้าว ครั้งที่ 1/2554 มีมติเห็นชอบยุทธศาสตร์การระบายข้าวกรณีขายข้าวแบบจีทูจีให้รัฐวิสาหกิจ และในเรื่องหลักเกณฑ์ให้สามารถเจรจาขายเป็นราคา Ex-warehouse ซึ่งไม่เคยปรากฏในยุทธศาสตร์การระบายข้าวฉบับใดมาก่อน
ที่ประชุมยังมีมติเสนอยุทธศาสตร์การระบายข้าวให้ประธานกรรมการ กขช. (น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร) เห็นชอบ แทนที่จะเสนอให้ที่ประชุม กขช. เห็นชอบเพื่อให้เกิดมุมมองหลากหลาย รอบคอบ รัดกุม รวมถึงไม่เสนอให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบ ทั้งที่เป็นเรื่องสำคัญ
หลังจากประธาน กขช. (น.ส.ยิ่งลักษณ์) เห็นชอบเพียง 5 วัน บริษัท กวางตุ้งฯ มีหนังสือถึงอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศขอซื้อข้าว สอดรับกับยุทธศาสตร์การระบายข้าวดังกล่าวอย่างเหมาะเจาะพอดี
ยิ่งกว่านั้น บริษัท กวางตุ้งฯ ขอซื้อข้าวในสต็อกปริมาณทั้งหมดมากกว่า 2 ล้านตันอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน พร้อมกับขอซื้อข้าวในท้องนาที่ยังไม่ถึงกำหนดเก็บเกี่ยวปริมาณ 2 ล้านตันด้วย ซึ่งตรงกับระยะเวลาการเริ่มต้นดำเนินโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาลอย่างพอดิบพอดี
ส่อแสดงให้เห็นว่ามีการเตรียมการจัดทำยุทธศาสตร์การระบายข้าวเพื่อรองรับรัฐวิสาหกิจของต่างประเทศให้มาซื้อข้าวรัฐบาลไทยได้โดยไม่ต้องได้รับมอบหมายจากรัฐบาลของตน
หลังจากนั้นเพียง 2 วัน บริษัท กวางตุ้งฯ มีหนังสือฉบับที่ 2 ถึงอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ ขอนัดหมายเจรจาในวันที่ 5 ต.ค. 2554 โดยปกติแล้วกระบวนการและขั้นตอนทางปฏิบัติเกี่ยวกับการซื้อขายแบบจีทูจี ต้องเสนอขอความเห็นชอบกรอบการเจรจาในเรื่องปริมาณ ราคา เงื่อนไขอื่นๆ ต่อนายภูมิก่อนเจรจา แต่ไม่มีการขออนุมัติกรอบการเจรจา ทั้งการเจรจาได้ข้อสรุปและขอความเห็นชอบผลภายในวันเดียว และนายภูมิ ได้ให้ความเห็นชอบเงื่อนไขดังกล่าว และมีการลงนามสัญญาในวันรุ่งขึ้น
รวมใช้ระยะเวลาทั้งหมดเพียง 9 วัน
ทั้งที่สัญญามีมูลค่าสูงหลายหมื่นล้านบาท และผลการเจรจาปรากฏข้อพิรุธหลายประการ โดยเฉพาะประเด็นเรื่องราคาขายตามบันทึกขอความเห็นชอบผลการเจรจา ระบุว่า คำนวณราคาเฉลี่ยสำหรับข้าวทุกชนิดได้ตันละ 13,941 บาท หากขายตันละ 10,000 บาท ตามข้อเสนอของบริษัท กวางตุ้งฯ จะทำให้ภาครัฐสูญเสียทันที 6,350 ล้านบาท
ที่สำคัญ ในบันทึกยังระบุอีกว่า หากข้อมูลการเจรจาแพร่กระจายออกสู่สาธารณชนอาจถูกวิพากษ์วิจารณ์จากผู้ประกอบการในประเทศว่า ขายราคาต่ำเกินไป ไม่เหมาะสมกับตลาด
นอกจากนี้ ยังมีข้อพิรุธว่า ให้บริษัท กวางตุ้งฯ สามารถนำข้าวที่ซื้อส่งไปยังประเทศที่สามในลักษณะเป็นการพาณิชย์ได้ ซึ่งไม่เคยปรากฏเงื่อนไขนี้มาก่อน และส่งผลเสียต่อไทย
หลังจากทำสัญญาเพียง 7 วัน นายภูมิ ยังให้ความเห็นชอบให้แก้ไขสัญญาฉบับที่ 1 และฉบับที่ 2 โดยเพิ่มวิธีการชำระค่าข้าวด้วยวิธีการโอนเงินผ่านธนาคาร และชำระด้วยแคชเชียร์เช็ค ซึ่งไม่ใช่วิธีที่ใช้สำหรับการขายข้าวแบบจีทูจี เป็นผลให้มีการนำข้าวตามสัญญามาเวียนขายกันภายในประเทศ
หลังจากนั้น มีการแก้ไขสัญญาอีกหลายครั้ง ถี่มากผิดปกติ และทุกครั้งไม่ปรากฏว่าได้เจรจากับบริษัท กวางตุ้งฯและแต่ละครั้งล้วนเป็นไปเพื่อประโยชน์ของผู้ซื้อทั้งสิ้น ขณะเดียวกันยังไม่รายงานผลการขายข้าวดังกล่าวแก่ที่ประชุม กขช. เพื่อเป็นหน้าตาของประเทศที่มีการขายข้าวไปได้ นับว่าเป็นเรื่องผิดปกติอย่างยิ่ง
ศาลฎีกาฯ ชี้ว่า พฤติการณ์ดังวินิจฉัยข้างต้นแสดงให้เห็นว่า นายภูมิ ทราบดีอยู่แล้วว่า บริษัท กวางตุ้งฯ เป็นรัฐวิสาหกิจของมณฑลจีน แต่ร่วมกันวางแผนให้บริษัทกวางตุ้งฯ เสนอขอซื้อข้าวกับกรมการค้าต่างประเทศ โดยแอบอ้างว่า ได้รับมอบหมายจากรัฐบาลจีนมาทำสัญญาในราคาต่ำกว่าท้องตลาด แล้วนำไปขายต่อเพื่อรับประโยชน์ส่วนต่าง จึงเป็นการจัดทรัพย์โดย
มิชอบ อันเป็นการเสียหายแก่รัฐ และปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ลงโทษจำคุกกระทงละ 18 ปี รวม 36 ปี
ปัจุจบัน นายภูมิ สาระผล ได้ออกจากคุกมาแล้ว (จากโทษคดีทุจริตจ้าวจีทูจี)
โดยได้รับการ “พักโทษ” เมื่อเดือนก.ย. 2567 และจะครบกำหนดการคุมประพฤติในวันที่ 25 ส.ค. 2568
3.หมอโด่งร่ำรวยผิดปกติ ยึดทรัพย์ 896 ล้านบาท
ก่อนหน้านี้ มีรายงานว่า ป.ป.ช. เข้าไปตรวจสอบบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินนักการเมืองและข้าราชการที่ถูกชี้มูลความผิดในคดีทุจริตข้าวจีทูจี เพื่อเช็คเส้นทางการเงินว่า มีส่วนไหนมาจากการทุจริตในโครงการรับจำนำข้าว หรือระบายข้าวจีทูจีหรือไม่
นายภูมิ ไม่ใช่รายแรกที่ถูกชี้มูลฐานร่ำรวยผิดปกติ
ก่อนหน้านี้ ป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิดนายวีระวุฒิ วัจนะพุกกะ (หมอโด่ง) อดีตเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ร่ำรวยผิดปกติ มูลค่ากว่า 896 ล้านบาท
ทรัพย์สินดังกล่าว ประกอบด้วย เงินฝากธนาคารพาณิชย์ในชื่อ พ.ต.วีระวุฒิ อดีตคู่สมรส บุตร เครือญาติและผู้ใกล้ชิด จำนวน 53 บัญชี คิดเป็นเงินรวมมูลค่ากว่า 567 ล้านบาท, เงินลงทุนในชื่อพ.ต.วีระวุฒิ อดีตคู่สมรส บุตร เครือญาติและผู้ใกล้ชิดจำนวน 6 แห่ง มูลค่ากว่า 260 ล้านบาท, ที่ดินในชื่ออดีตคู่สมรส บุตร เครือญาติ จำนวน 12 แปลง ในกรุงเทพฯ มูลค่ามากกว่า 57 ล้านบาท, ห้องชุดในชื่อเครือญาติ ได้แก่ ห้องชุดชื่อศาลาแดง โคโลเนต สีลม กรุงเทพฯ 1 ห้อง มูลค่า 6.2 ล้านบาท, รถยนต์ 6 คัน ในชื่อของเครือญาติและผู้ใกล้ชิด มูลค่ามากกว่า 6.3 ล้านบาท
สุดท้าย ศาลฎีกาฯ พิพากษาให้ทรัพย์สินตามรายการที่ป.ป.ช.ชี้มูล “...รวมมูลค่าทรัพย์สินทั้งหมด ๘๙๖,๕๕๔,๗๖๐.๒๘ บาท พร้อมดอกผลของทรัพย์สินที่เกิดขึ้น ให้ตกเป็นของแผ่นดิน หากไม่สามารถบังคับคดีเอาแก่ทรัพย์สินดังกล่าวได้ทั้งหมดหรือได้แต่บางส่วน ให้บังคับคดีเอาแก่ทรัพย์สินอื่นของผู้ถูกกล่าวหาได้ภายในอายุความสิบปี แต่ต้องไม่เกินมูลค่าของทรัพย์สินที่ศาลสั่งให้ตกเป็นของแผ่นดิน..” – คำพิพากษาคดีหมายเลขแดงที่ อม.122/2562
จนถึงขณะนี้ ยังไม่มีรายงานว่า ติดตามยึดทรัพย์ได้คืนแผ่นดินจริงๆ เท่าไหร่?
ส่วนตัวหมอโด่ง ขณะนี้ก็ยังหลบหนีโทษจำคุกในคดีทุจริตข้าวจีทูจีอยู่
น่าเสียดาย.. การหายตัวไปของหมอโด่ง น่าจะกระทบกับรูปคดีข้าวจีทูจีลอตสองด้วย
หมอโด่งถือเป็นตัวละครสำคัญในการระบายข้าวจีทูเจี๊ยะยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์ โดยมีตำแหน่งอยู่ในกรรมการสำคัญเกี่ยวกับการระบายข้าวยุคยิ่งลักษณ์โดยตลอดต่อเนื่อง ราวกับเป็นผู้กุมอำนาจตัวจริง หรือเป็นผู้เล่นสายตรงของใครสักคนที่มีอำนาจในขณะนั้น
พ่อค้าข้าวที่ต้องการจะได้ข้าวจากโกดังรัฐบาลเวลานั้น จะต้องคุยกับหมอโด่ง เพื่อตกลงราคา จ่ายเช็ค แลกกับการได้รับข้าวของรัฐไปโดยไม่ต้องประมูล ไม่ต้องทำสัญญากับรัฐ
ในการไต่สวนพยานฝ่ายจำเลยในคดีจำนำข้าวของยิ่งลักษณ์ ปรากฏว่า นายสุรนันทน์ เวชชาชีวะ อดีตเลขาธิการนายกฯ (น.ส.ยิ่งลักษณ์) และอดีตรมต.ประจำสำนักนายกฯ ไปขึ้นให้การ ได้มีการเบิกความในประเด็นเกี่ยวกับหมอโด่งด้วย
อัยการซักว่า ข้อมูลจากคนวงในกระทรวงพาณิชย์ ระบุว่า นพ.วีระวุฒิ ไม่ใช่คนสนิทของนายบุญทรง แต่เป็นคนสนิทของนางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ อดีตสส.เชียงใหม่ น้องสาวนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งถูกเลือกเข้ามาให้ดูแลด้านระบายข้าว ส่งผลให้การตัดสินใจสำคัญของกระทรวงพาณิชย์ขึ้นอยู่กับนพ.วีระวุฒิ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้ตรวจสอบหรือไม่?
นายสุรนันทน์ เบิกความสรุปได้ว่า ตอนนั้นไม่มีใครทราบเรื่องตามที่อัยการถามมาก่อนเลย
4. ค่าสินไหมทดแทนจำนำข้าวรวม 7.5 หมื่นล้านบาท
4.1 คดีค่าสินไหมทดแทนข้าวจีทูจี 2 หมื่นล้านบาท
เจ้าหน้าที่รัฐ 5 คน คือ นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ นายภูมิ สาระผล นายมนัส สร้อยพลอย นายทิฆัมพร นาทวรทัต และนายอัฐฐิติพงศ์ หรืออัครพงศ์ ทีปวัชระ ได้รับคำสั่งให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนความเสียหายกรณีระบายข้าวจีทูจี
ศาลปกครองกลาง พิพากษาให้บุคคลเหล่านี้ต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทน นายมนัส สร้อยพลอย ชดใช้ 4,011 ล้านบาท,นายทิฆัมพร นาทวรทัต ชดใช้ 4,011 ล้านบาท, นายอัครพงศ์ ทีปวัชระ ชดใช้ 2,694 ล้านบาท, นายภูมิ สาระผล ชดใช้ 2,242 ล้านบาท และนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ ชดใช้ 1,768 ล้านบาท
ศาลปกครองกลาง ชี้ว่ามีพฤติการณ์จงใจกระทำการทุจริต ร่วมกันกับข้าราชการการเมือง ข้าราชการประจำ และภาคเอกชน รวมถึงมีลักษณะการแบ่งงานกันทำ และจงใจทำให้เกิดความเสียหายในโครงการระบายข้าวจีทูจี ดังนั้น จึงเป็นการละเมิดต่อการปฏิบัติหน้าที่ และจงใจทำให้รัฐเสียหาย ไม่เป็นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรี ไม่อาจนำข้าวดังกล่าวมาขายราคามิตรภาพได้หรือต่ำกว่าราคาตลาดได้ นอกจากนี้ยังมีการเปลี่ยนแปลงการชำระเงินเป็นการโอนเงินผ่านธนาคาร และแคชเชียร์เช็ค ไม่สอดคล้องกับการขายข้าวแบบจีทูจี รวมถึงมีการส่งมอบหน้าคลังสินค้า ทำให้มีการนำข้าวในคลังมาเวียนขายภายในประเทศ การกระทำดังกล่าว จึงทำให้เกิดการแข่งขันอย่างไม่เป็นธรรมและมีการแก้ไขสัญญาซื้อขายด้วย สุดท้ายชี้ขาดให้ต้องจ่ายค่าสินไหมทดแทนตามคำสั่ง
ขณะนี้ รอคำพิพากษาชี้ขาดในชั้นศาลปกครองสูงสุด
กรณีข้างต้น เป็นเรื่องความรับผิดทางละเมิด ชดใช้ค่าสินไหมทดแทน เป็นคนละส่วนกับความรับผิดทางอาญา โดยในส่วนของอาญา ทั้งหมดติดคุก ได้ลดหย่อนผ่อนโทษ และได้ออกมาเกือบหมดแล้ว
4.2 คดีค่าสินไหมทดแทนไม่ระงับยับยั้งโครงการจำนำข้าว 3.5 หมื่นล้านบาท
อดีตนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้รับคำสั่งให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนจากความเสียหายในโครงการรับจำนำข้าว จำนวน 20% หรือประมาณ 3.5 หมื่นล้านบาท (ของความเสียหาย 1.78 แสนล้านบาท)
ก่อนหน้านี้ ศาลปกครองกลาง พิพากษาให้ยิ่งลักษณ์ชนะคดี ไม่ต้องจ่าย
ขณะนี้ คดียังอยู่ในการพิจารณาในชั้นศาลปกครองสูงสุด โดยลุ้นว่าจะต้องจ่ายค่าสินไหมทดแทนหรือไม่เท่านั้น ไม่มีผลลบล้างคำพิพากษาศาลฎีกาฯ ที่ให้ลงโทษจำคุกยิ่งลักษณ์แต่อย่างใด
ย้ำ คดีค่าสินไหมทดแทนนี้ ไม่เกี่ยวกับโทษจำคุก 5 ปี
รองประธานศาลปกครองสูงสุด นายประวิตร บุญเทียม เปิดเผยว่า คดีนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลปกครองสูงสุด น่าจะมีคำพิพากษาภายในปีนี้ เช่นเดียวกับคดีค่าสินไหมทดแทนข้าวจีทูจี
สุดท้าย... สังคมต้องช่วยกันติดตามการยึดทรัพย์ก๊วนทุจริตจำนำข้าว ที่รัฐยังต้องหาเงินมาใช้หนี้ ธ.ก.ส.อยู่อีกกว่า 2 แสนล้านบาท
นอกจากนักการเมืองและข้าราชการที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการทุจริตจำนำข้าวแล้ว ยังมีภาคเอกชน เช่น เสี่ยเปี๋ยงและพวก ที่ศาลฎีกาฯ พิพากษาลงโทษจำคุก และให้ชดใช้ค่าเสียหายแก่รัฐด้วย
แต่จนบัดนี้ แม้ได้พักโทษออกจากคุกแล้ว แต่ค่าเสียหายตามคำพิพากษาของศาลฎีกาฯ มีการติดตามให้ชำระแล้วหรือยัง? ใครละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ไม่ติดตามมาคืน
แผ่นดินบ้าง?
สันติสุข มะโรงศรี
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี