ในขณะที่สงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกากับจีนแผ่นดินใหญ่กำลังร้อนแรง สหรัฐฯผู้เปิดฉากขึ้นภาษีศุลกากรแบบไม่รู้เหนือรู้ใต้ จู่ๆประกาศขึ้นภาษีศุลกากรตอบโต้ทั่วโลกครั้งใหญ่ ตามอำเภอใจประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เป็นเหตุให้นโยบายอเมริกาต้องเป็นใหญ่กลับมาทำร้ายชาวอเมริกันถึงในบ้าน
ความเดือดร้อนของอเมริกัน ต้องซื้อสินค้าอุปโภค-บริโภคแพงขึ้นถึง 115% นอกจากนั้นการขึ้นภาษีที่ขัดต่อข้อตกลงองค์การการค้าโลกหรือ WTO ทำให้อุตสาหกรรมขนาดใหญ่อเมริกาค้าขายกับชาวโลกไม่ได้ โดยเฉพาะกับคู่ค้ารายใหญ่ในประเทศจีน สร้างความเสียหายอย่างหนักให้อุตสาหกรรมการบินอเมริกา เมื่อสายการบินพาณิชย์ในจีนแผ่นใหญ่ยกเลิกการซื้อเครื่องบินโบอิ้งที่ตกลงซื้อขายไว้ล่วงหน้า
กลางเดือนเมษายน จีนยกเลิกซื้อ Boing ลอตแรก 179 ลำ มูลค่า 6.5 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ นอกจากนั้นรัฐบาลจีนยังได้ร้องขอให้สายการบินจีน ระงับการจัดซื้ออุปกรณ์และชิ้นส่วนอากาศยาน จากบริษัทสัญชาติอเมริกันอีกด้วย
บริษัทโบอิ้งต้องนำเครื่องบินที่เตรียมส่งมอบให้สายการบินพาณิชย์ของจีน เครื่องบินโบอิ้ง 737 MAX ที่เตรียมส่งมอบให้สายการบินจีน ถูกนำกลับฐานการผลิตในเมืองซีแอตเทิล
ด้วยความตกตะลึงพรึงเพริด ประธานาธิบดีทรัมป์ ละล่ำละลักออกมาว่า เขาขึ้นภาษีศุลกากรตอบโต้จีนแพงเกินไป และกำลังพิจารณาลดภาษีศุลกากรในระดับที่พอจะค้าขายกันได้ และรอการติดต่อจากจีนเพื่อเจรจาที่ win win ทั้งสองฝ่าย แต่โฆษกรัฐบาลจีนกล่าวว่า ตอนนี้ยังไม่มีการเจรจาใดๆ “สหรัฐฯเป็นฝ่ายเปิดฉากสงครามการค้า จีนไม่ปิดประตูเจรจา แต่หากเขาทำสงครามการค้า หรือ ทำสงครามอื่นจีนพร้อมต่อสู้ทุกทาง..”
ก่อนหน้านี้ ประธานาธิบดีทรัมป์ ประกาศเลื่อนการเรียกเก็บภาษีศุลกากรตอบโต้ออกไป 90 วัน แต่ยังคงรักษาภาษีพื้นฐาน 10% ไว้ ทำให้หลายประเทศเร่งรีบเจรจากับสหรัฐฯก่อนถึงกำหนดเวลา 90 วัน แต่จีนแผ่นดินใหญ่เงียบเฉยไม่มีปฏิกิริยาใดๆ จีนใช้ตำราซุนวูที่ว่า “ใช้ความสงบสยบความเคลื่อนไหว” ทำให้ประธานาธิบดีทรัมป์ ว้าวุ่นเพราะเป้าหมายใหญ่สงครามการค้าคือประเทศจีน
พิเคราะห์จากอาการปากกล้าขาสั่นของประธานาธิบดีทรัมป์ ทำให้เชื่อว่าสุดท้ายสหรัฐฯหนีญญ่ายพ่ายจแจ้นในสงครามการค้า ต้องเปลี่ยนท่าทีกลับมาปฏิบัติตามระเบียบกฎเกณฑ์ขององค์การการค้าโลก หรือ WTO คือมีความเท่าเทียมทางการค้าแบบพหุภาคี ประเทศใดประเทศหนึ่งขึ้นภาษี กีดกันการค้าตามความพอใจไม่ได้
ส่วนที่ประกาศครึกโครมล่วงหน้าว่า จะขึ้นภาษีศุลกากรตอบโต้ต่อประเทศที่ได้ดุลการค้าสหรัฐฯตั้งแต่ 10% ถึง 250% นั้น ถือว่าเป็นการพูดหาเสียงเหมือนพรรคเพื่อไทย ที่พอเป็นรัฐบาลแล้วทำตามนโยบายที่หาเสียงไว้ไม่ได้สักอย่าง
ประเทศไทยไม่มีนโยบาย ไม่มียุทธศาสตร์ชัดเจน ในการเผชิญหน้ากับสงครามการค้า เนื่องจากว่ารัฐบาลพรรคเพื่อไทย ต้องรอฟังว่า สทร. บัญชาว่าต้องทำอะไรแบบไหน และเชื่อว่าจะมีท่าทีชัดเจนเมื่อ สทร. ได้แสดงวิสัยทัศน์ต่อหอการค้าสหรัฐฯในประเทศไทย
สำนักข่าว บลูมเบิร์ก (bloomberq) รายงานว่า ทักษิณ ชินวัตร ส่งสัญญาณการเปลี่ยนแปลงท่าทีที่อาจเกิดขึ้นของไทย ซึ่งเป็นผลจากภาษีแบบต่างตอบโต้ของสหรัฐฯ โดยต้องปรับปรุงกฎระเบียบการนำเข้าและนโยบายส่งเสริมการลงทุน พร้อมถอยห่างจาก WTO หันไปใช้ข้อตกลงทวิภาคีแทน
ในงานสัมมนาที่จัดโดยหอการค้าสหรัฐฯในประเทศไทย หรือ The American Chamber of Commerce in Thailand ที่โรงแรม คาเพลลา แบงค็อก เมื่อวันที่ 24 เมษายน ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ไทยจำเป็นต้องปรับปรุงกฎระเบียบการนำเข้าและนโยบายส่งเสริมการลงทุน ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้เงินทุนจากจีนไหลเข้าไทยในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เนื่องจากภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ที่สูงลิ่วอาจส่งผลกระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนโดยการส่งออก
ทักษิณกล่าวว่า ภัยคุกคามจากการเก็บภาษีนำเข้าสินค้าของสหรัฐฯ ควรเป็น “การเตือนสติที่ดี” ให้กับรัฐบาลที่นำโดย นางสาวแพทองธาร ชินวัตร ลูกสาวของตน ให้ปราบปรามผู้ผลิตต่างชาติ ที่หลีกเลี่ยงกฎระเบียบเกี่ยวกับวัสดุในท้องถิ่น โดยทักษิณได้อ้างถึงอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าของประเทศ ซึ่งดึงดูดการลงทุนหลายพันล้านดอลลาร์จากผู้ผลิตรถยนต์จีนหลายรายในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เนื่องจากแรงจูงใจจากรัฐบาลไทย
“เรามีการขาดดุลกับจีนจำนวนมาก และเราเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯในระดับปานกลาง อาจมีบางอย่างผิดปกติที่นี่” ทักษิณ กล่าว “ดังนั้น เราจะเปลี่ยนนโยบายของเรา อันเป็นผลมาจากภาษีนำเข้านี้”
ความคิดเห็นของทักษิณเกิดขึ้นในขณะที่เจ้าหน้าที่ไทย เตรียมที่จะเจรจากับสหรัฐฯฯเพื่อลดภาษีแบบต่างตอบโต้ ซึ่งเป็นหนึ่งในอัตราที่สูงที่สุดที่รัฐบาลทรัมป์กำหนดไว้ ไทยเกินดุลกับสหรัฐฯซึ่งเป็นตลาดส่งออกที่ใหญ่ที่สุดของประเทศมูลค่า 46,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ(ราว 1.5 ล้านล้านบาท) ในปีที่แล้ว
มุมมองของทักษิณยังส่งสัญญาณถึงการเปลี่ยนแปลงท่าทีที่อาจเกิดขึ้นของไทย ซึ่งได้รับประโยชน์อย่างมากจากการลงทุนของจีนอันเป็นผลจากแนวโน้มการย้ายห่วงโซ่อุปทานทั่วโลก
คำพูดของทักษิณ ที่ว่า ไทยถอยห่างจาก WTO และ เน้นทวิภาคีการค้า #เป็นมุมมองที่ตรงข้ามกับจีนโดยสิ้นเชิง ในขณะประธานาธิบดี สี จิ้นผิง เดินทางมาเยือน เวียดนาม กัมพูชา และมาเลเซีย ประธานาธิบดีสี รณรงค์ให้มิตรประเทศให้ความสำคัญกับการทำการค้าพหุภาคีที่มีความเท่าเทียมกันตามระเบียบ กำหนดกฎเกณฑ์ WTO
จึงเชื่อว่า คำพูดของ ทักษิณ อาจทำให้ความสัมพันธ์ทางการค้า ไทยกับจีน จะมีช่องว่างถ่างออกมากขึ้น การที่ทักษิณพูดว่า ไทยได้ดุลการค้าสหรัฐฯพอประมาณ แต่เสียดุลการค้าจีนมาก
ความจริงนายทักษิณต้องโทษรัฐบาลไทย หน่วยงานส่งเสริมการลงทุน (BOI) ที่ตั้งเป้าหมายให้ได้ตัวเลขการลงทุนสูงๆ เข้าไว้ โดยไม่สนใจว่าการลงทุนนั้น ต่างประเทศใช้ประเทศไทยเป็นฐานพักสินค้าเพื่อส่งออก Re-Export ไปอเมริกาหรือไม่ นายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร กล่าวเมื่อต้นเดือนมีนาคมว่า ปี 2025 จะมีการลงทุนในประเทศไทย (จากข้อมูลบีโอไอ) ถึง 1.14 ล้านล้านบาท โดยการลงทุนส่วนใหญ่จากสิงคโปร์และจีนแผ่นดินใหญ่
นายกฯแพทองธาร ลิงโลดกับตัวเลขบีโอไอ โดยไม่เอะใจว่า ทำไมจีนลงทุนในสิงคโปร์ แล้วมาขอบีโอไอในประเทศไทย รัฐบาลไทยไม่ประสีประสา หรือว่าแกล้งโง่ที่ไม่รู้หรือว่า สิงคโปร์กับไทยเป็นอาเซียนด้วยกัน เมื่อจีนลงทุนผ่านสิงคโปร์ ส่งสินค้ามาประเทศไทยย่อมได้ประโยชน์ทางภาษีศุลกากร
การลงทุนของจีนในประเทศไทยก็เช่นกันส่วนใหญ่จีนใช้โรงงานในประเทศ เป็นที่พักสินค้าผลิตสำเร็จรูปมาจากประเทศต้นทาง แล้วมาประกอบในประเทศไทย เพื่อตีตราประเทศไทยเป็นประเทศต้นทางสินค้า เรื่องนี้สหรัฐฯ และคนไทยส่วนใหญ่รู้ดี มีแต่รัฐบาลไทยไม่ประสีประสาที่เอาตัวเลขลงทุนศูนย์เหรียญมาโพนทะนาว่าเป็นผลงานรัฐบาล
ทักษิณ โทษจีนฝ่ายเดียวโดยไม่โทษความบกพร่องของรัฐบาลไทย ที่ไม่กำกับดูแลงานให้รอบคอบปล่อยให้กิจการศูนย์เหรียญมีดาษดื่นในประเทศไทย ทักษิณเพิ่งมาพูดเอาตอนนี้ บอกได้ว่า “สายเกินไป” และการพูดเอาใจสหรัฐฯ ยังแต่สร้างความเสียหายในความสัมพันธ์ทางค้าจีน ไทยยิ่งถ่างห่างออกไป
รัฐบาลไทยตำหนิโจมตีจีนสีเทา แต่ไม่ปราบปรามไทยสีเทา ที่ร้ายกาจกว่าจีนเทาหลายเท่า เพราะรัฐบาลไทยหย่อนยานหรือไม่ก็มีผลประโยชน์ร่วมกันกับไทยสีเทา นี่คงเป็นเหตุผลหนึ่งที่ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ไม่มาประเทศไทยรวมทั้งนักท่องเที่ยวจีนที่ลดลงไปอย่างน่าใจหาย กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา แถลงยอมรับว่า ปี 2025 นักท่องเที่ยวจีนลดลงกว่าเป้าหมายเดิม 35%
อย่าไปโทษจีนที่ลงทุนศูนย์เหรียญ อย่าไปโทษนักท่องเที่ยวจีนที่ไม่มาท่องเที่ยวประเทศไทย ตราบใดที่รัฐบาลไม่ประสีประสาปล่อยให้ สทร.มีอำนาจเหนือรัฐบาล สั่งการให้หันซ้ายหันขวาได้ การปล่อยให้คนไม่มีตำแหน่งหน้าที่ มีอิทธิพลเหนือรัฐบาลไทยไม่มีประเทศไหนอยากคบค้าหรอก
สุทิน วรรณบวร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี