“เมื่อการคอร์รัปชันไม่ใช่เรื่องผิดในความรู้สึกของสังคม แต่กลายเป็น “ส่วนหนึ่งของระบบ” คำถามที่อยากชวนคิดต่อ คือ... แล้วเราจะแก้มันได้จริงเหรอ?”
โดยปกติแล้วการคอร์รัปชันควรถูกมองว่าเป็นพฤติกรรมที่ไม่ปกติ ผิดกฎหมาย ผิดจริยธรรม และควรถูกจัดการอย่างเด็ดขาด แต่ในประเทศไทย กลับมีพฤติกรรมจำนวนมากที่สังคมมองว่า “ไม่เป็นไร ถือว่าคนรู้จักกันช่วยเหลือกัน” หรือ “ใครๆ ที่มีอำนาจก็ทำกันทั้งนั้น” หรือประโยคคลาสสิกติดปากว่า “โกงนิดหน่อยไม่เป็นไร” คำพูดที่เราได้ยินกันจนชินหูในสังคมไทย ทั้งๆ ที่สิ่งนี้คือ หนึ่งในรูปแบบการคอร์รัปชัน ทำไมพฤติกรรมโกงนิดๆ หน่อยๆ เหล่านี้ กับกลายเป็นปัญหาใหญ่ที่ส่งผลกระทบวงกว้าง เช่น อาหารกลางวันเด็กถูกโกง การใช้เส้นสายในการสอบเข้าหรือเลื่อนขั้นในแวดวงราชการ หรือแม้แต่การกินเงินทอนในโครงการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐตั้งแต่ระดับท้องถิ่นไปจนระดับประเทศ ทั้งที่มันคือการใช้อำนาจในการบิดเบือนผลประโยชน์ส่วนรวม เป็นการใช้ตำแหน่งหน้าที่ในทางที่ไม่ชอบธรรม
สรุปแล้ว...ปัญหามันอยู่ที่ “คนโกง” ใช่ไหม ? แค่หาระบบดีๆ มาครอบก็จบแล้ว ?
ระบบปราบโกงในไทยมีมากจนจำไม่ไหว เหนื่อยยิ่งกว่าท่องมุก “แม่ติ๋มเชียงใหม่ แม่ใหญ่ลำปางฯ” เสียอีก เพราะเรามีทั้งกฎหมาย กฎระเบียบ นโยบายต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชันมากมาย รวมถึงมีคณะกรรมการ หน่วยงานตรวจสอบ ช่องทางเปิดเผยข้อมูลภาครัฐเพื่อความโปร่งใส หรือช่องทางร้องเรียนการทุจริตคอร์รัปชันอีกนับไม่ถ้วน แต่ทำไมการคอร์รัปชันถึงยังเกิดซ้ำๆ แล้วระบบปราบโกงเหล่านี้ไม่สามารถหยุดมันได้เลยเหรอ หรือเพราะสิ่งที่เราเรียกว่า “ระบบ” บ่อยครั้งมันไม่ใช่ระบบป้องกันการโกง แต่คือระบบที่สืบทอดการโกง เปิดช่องให้คนใช้ตำแหน่ง อำนาจ และเครือข่ายในทางที่ผิดได้อย่างแนบเนียนโดยไม่ถูกลงโทษใดๆ หรือเปล่า ?
ยกตัวอย่างให้เห็นภาพมากขึ้น…
1.ระบบจัดซื้อจัดจ้างที่เปิดช่องให้เกิดการโกงได้อย่างถูกกฎหมาย
ระบบที่เปิดช่องให้โกงได้โดยไร้การตรวจสอบ กลายเป็นเรื่องปกติในกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ ทั้งที่ตามระเบียบแล้วต้องมีการเปิดข้อมูลเอกสาร TOR มีวิธีการและผู้เข้าแข่งขันประกวดราคาอย่างโปร่งใสและไม่กีดกันการแข่งขัน แต่ในความเป็นจริงมีหลายกรณีที่พบว่า มีการฮั้วกันตั้งแต่การจัดทำโครงการ หรือการจัดทำ TOR แบบล็อกสเปกหรือปรับแก้ไขแบบให้คุณภาพไม่ตรงตามมาตรฐานงบประมาณที่ต้องเสียไป แต่ดันไปตรงใจกับบริษัทพวกพ้อง มีการฮั้วประมูลภายใต้เครือข่ายผู้รับเหมาเดียวกัน หรือแม้แต่ใช้บริษัทคู่เทียบเข้ามาแข่งขันพอเป็นพิธีเสนอห่างกันแค่ไม่กี่บาท และห่างจากราคากลางแค่พอให้เนียนอย่างกับมีพรายกระซิบ บางครั้งก็ตัดส่วนซอยย่อยโครงการให้หลายสัญญา เพื่อหลีกเลี่ยงการแข่งขันและเลือกพวกตัวเองแบบเฉพาะเจาะจง ผลลัพธ์ที่มักตามมาบ่อยๆ คือ รัฐได้ของแพงเกินจริง โครงการก่อสร้างไม่ได้มาตรฐาน หรือสิ่งของคุณภาพต่ำอย่างน่ากังขา แต่พอมีคำถามและจะตรวจสอบ ก็จะเจอวลีคลาสสิกว่า“ทุกอย่างดำเนินการตามกระบวนการกฎหมายทุกขั้นตอน ตามกฎระเบียบทุกประการ” ทั้งๆ ที่หน้างานจริงก็เห็นแบบโทนโท่ว่าต้องมีการคอร์รัปชันเกิดขึ้นแน่ๆ
หากลองดูจากปีงบประมาณ 2567 จากข้อมูลในเว็บไซต์ภาษีไปไหน (Thailand Government Spending) พบว่า ภาครัฐใช้เงินไปกับการจัดซื้อจัดจ้างกว่า 1.2 ล้านล้านบาท เฉพาะหมวดการจ้างก่อสร้างมีมูลค่าสูงถึง 485,058.85 ล้านบาท หากมีการหักหัวคิวหรือกินเงินทอนไปเพียง ร้อยละ 20 ของงบโครงการก่อสร้าง จะเท่ากับว่างบประมาณกว่า 97,000 ล้านบาทอาจรั่วไหลไปสู่ผู้มีอำนาจหรือผู้เกี่ยวข้องโดยมิชอบแบบถูกกฎหมายทุกขั้นตอน ตัวเลขนี้สะท้อนให้เห็นถึง มูลค่าความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจากการคอร์รัปชันในระบบจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐ ซึ่งไม่เพียงส่งผลต่อประสิทธิภาพของโครงการ แต่ยังบั่นทอนความไว้วางใจของประชาชนที่มีต่อระบบราชการ และในท้ายที่สุด ความเคยชินกับการรั่วไหลของงบประมาณเหล่านี้
ก็กัดกร่อนความหวังของผู้คน จนหลายคนจำยอม ยอมรับว่า“มันก็เป็นแบบนี้แหละ” และเชื่อว่าการทุจริตเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งความเคยชินต่อการโกงไม่ได้แค่ทำให้ประเทศไทยล้มเหลว แต่ทำให้ประชาชนเลิกเชื่อว่า “ความถูกต้อง” เปลี่ยนอะไรได้
2. ระบบเปิดเผยข้อมูลที่เป็นเพียงฉากบังหน้า
ระบบเปิดเผยข้อมูลที่ควรเอื้อต่อการตรวจสอบ กลับกลายเป็นเพียงฉากหน้าที่บดบังความไม่โปร่งใส แทนที่ข้อมูลจะถูกเปิดเผยอย่างเสรีตามหลักสากลของ Open Data for Anti-Corruption ตามที่ประเทศไทยมุ่งหวัง ซึ่งเน้นตามหลักการสำคัญ 6 ข้อ ได้แก่ 1) เปิดเผยเป็นหลัก ปกปิดคือข้อยกเว้น 2) เปิดเผยรวดเร็วและครบถ้วน 3) เข้าถึงได้ง่ายและใช้ได้จริง 4) มีคุณภาพและโครงสร้างที่ชัดเจน 5) เสริมสร้างธรรมาภิบาลและการมีส่วนร่วมของประชาชน และ 6) เสริมสร้างการพัฒนานวัตกรรม ซึ่งมองลงมาในบริบทของประเทศไทยที่มีกฎหมายสำคัญอย่าง พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540 และ พ.ร.บ. บริการภาครัฐผ่านดิจิทัล พ.ศ. 2562 ที่ระบุให้หน่วยงานรัฐต้องเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณะในรูปแบบดิจิทัล เข้าถึงได้ฟรี และนำไปใช้ต่อยอดได้อย่างเสรี และถ้าพูดถึงศูนย์กลางรวมข้อมูลเปิดภาครัฐที่เปิดให้ทุกคนเข้าไปดู หลายคนอาจคุ้นชื่อเว็บไซต์ data.go.th ศูนย์กลางข้อมูลเปิดภาครัฐ (Open Government Data) ของสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล และเว็บไซต์ www.gprocurement.go.th ระบบรวมข้อมูลจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐด้วยอิเล็กทรอนิกส์ (e-GP) ของกรมบัญชีกลาง แต่คำถามสำคัญคือ “ข้อมูลที่เปิดเผยนั้นเพียงพอและมีคุณภาพพอสำหรับการตรวจสอบอำนาจรัฐหรือไม่?”
ถ้าต้องยกกรณีที่น่าตกใจและใกล้ตัว คือ โครงการสร้างอาคารสำนักงานแห่งใหม่ของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) มูลค่ากว่า 2.1 พันล้านบาท ที่พังถล่มระหว่างแผ่นดินไหว ส่งผลให้แรงงานที่กำลังก่อสร้างได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต และถูกตั้งข้อสงสัยในมาตรฐานการก่อสร้างและเบื้องหลังการจัดซื้อจัดจ้างที่ไม่โปร่งใส โดยการมีบริษัทจีนที่เป็นกิจการร่วมค้าใช้บริษัทฝั่งประเทศไทยมาบังหน้ากินรวบรับงานภาครัฐตั้งแต่ระดับ 100 ล้านบาท ไปจนถึง 7,000 ล้านบาท โดยมีคำชี้แจงส่วนหนึ่งจากตัวแทนของ สตง. ในที่ประชุมคณะกรรมาธิการติดตามงบฯ ว่า ในการก่อสร้างอาคารดังกล่าว ไม่รู้ว่ามี “บริษัทจีนเข้าไปร่วมทุนด้วย” เพราะมีบริษัทยักษ์ใหญ่ของประเทศไทยออกหน้าให้ตลอด สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นว่าระบบเปิดเผยข้อมูลภาครัฐของไทยล้มเหลวในทางปฏิบัติ แม้จะมีกฎหมายและแพลตฟอร์มรองรับ แต่ข้อมูลยังขาดความโปร่งใส ครบถ้วน และเข้าถึงยาก หรือแม้แต่ สตง. เองยังไม่ทราบข้อมูลพื้นฐานของคู่สัญญาในโครงการพันล้านของตนเลย
สุดท้ายแล้วปัญหาคอร์รัปชันของประเทศไทยจะแก้คนก็ไม่ได้ถ้าระบบยังพัง แก้ระบบก็ไม่ไหวถ้าคนยังยอมรับการโกง
ในมุมมองของผู้เขียน สิ่งที่เราเห็นในปัญหาการต่อต้านคอร์รัปชันในประเทศไทยอาจจะ ไม่ใช่แค่ คนโกงเก่ง หรือระบบไร้ประสิทธิภาพ แต่มันคือวงจรย้อนแย้งที่ทั้งระบบและคนต่างก็ส่งเสริมให้การโกงยังอยู่รอดได้ ดังนั้นการแก้ปัญหาคอร์รัปชันในประเทศไทยจำเป็นต้องทำงานในสองระดับพร้อมกันไป คือปฏิรูประบบและเปลี่ยนแปลงทัศนคติสังคม ประการแรก ภาครัฐต้องปฏิรูประบบตรวจสอบให้มีประสิทธิภาพจริง โดยเฉพาะการเปิดเผยข้อมูลที่ต้องครบถ้วน เข้าถึงง่าย และตรวจสอบได้ ไม่ใช่แค่มีแพลตฟอร์มแต่ข้อมูลไม่สมบูรณ์ ประการที่สอง ทุกภาคส่วนต้องเปลี่ยนค่านิยมสังคมที่มองว่า “โกงนิดหน่อยไม่เป็นไร” ผ่านการศึกษาและสร้างกระแสสังคมที่ไม่ทนต่อการทุจริตทุกรูปแบบ ไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ ประชาชนต้องเชื่อมั่นว่าความถูกต้องเปลี่ยนแปลงสังคมได้ และลุกขึ้นมามีส่วนร่วมเป็นหูเป็นตาในการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ เพราะการเอาชนะคอร์รัปชันได้ ต้องอาศัยกลไกระบบที่เข้มแข็งควบคู่กับพลังพลเมืองที่ไม่ยอมจำนนต่อความไม่ถูกต้อง
สุดท้ายนี้ ผู้เขียนเชื่อเหลือเกินว่า เหตุผลที่การคอร์รัปชันยังไม่หายไปจากสังคมปัจจุบัน ไม่ใช่เพราะเรามีคนโกงที่มากขึ้น แต่เกิดจากความเงียบและการเพิกเฉยต่อปัญหาของคนที่เพิ่มขึ้น และเมื่อไรที่เรากล้าจะไม่เงียบ ความเปลี่ยนแปลงในการต่อต้านคอร์รัปชันจะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ขอบคุณครับ
แหล่งอ้างอิง
ศูนย์ความรู้เพื่อความร่วมมือในการต่อต้านคอร์รัปชัน และ
ส่งเสริมธรรมาภิบาลในระดับภูมิภาค. (2567, 10 มีนาคม). เปิดข้อมูลให้โปร่งใส ปิดตายการคอร์รัปชัน. สืบค้นจาก https://kraccorruption.com/knowledge/เปิดข้อมูลให้โปร่งใส-ปิ/
ศุทธิรัตน์ พัชรวุฒิพันธุ์. (2566, 14 มิถุนายน). เปิดไม่โปร่ง ข้อมูลภาครัฐยังเร้นลับจริงไหม?. แนวหน้า. สืบค้นจาก https://www.naewna.com/anticorruption/columnist/55430
ThaiPublica. (2567, 27 สิงหาคม). ข้อมูลภาครัฐ…ต้องเปิดเผยเป็นหลัก ปกปิดเป็นข้อยกเว้น เครื่องมือ-หัวใจต่อต้านวิกฤตคอร์รัปชันของไทย. สืบค้นจาก https://thaipublica.org/2024/08/open-data-for-anti-corruption-efforts-in-thailand-rold-
xcelerate/
กรุงเทพธุรกิจ. (2568, 15 เมษายน). เจาะงานสร้างตึก สตง.พิรุธ 2 ปม จ่อเลิกสัญญา-ไม่รู้มีบริษัทจีน?. สืบค้นจาก https://www.bangkokbiznews.com/politics/1175947
รักษ์ป่า อู่สุวรรณ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี