สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาในบทบาทผู้ขับเคลื่อนการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย
การมีกฎหมายที่ดีมีคุณภาพและได้มาตรฐานรวมทั้งสอดคล้องกับบริบทการพัฒนาประเทศซึ่งถือเป็นกลไกสำคัญที่จะส่งเสริมและยกระดับการพัฒนาให้สามารถขับเคลื่อนประเทศสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนได้อย่างมีประสิทธิภาพเนื่องจากสถานการณ์ด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมของประเทศไทยในช่วงเวลาที่ผ่านมายังมีอุปสรรคหลายประการที่ส่งผลต่อการพัฒนาประเทศ ทั้งการมีกฎหมายมากเกินความจำเป็น หรือกฎหมายล้าสมัยไม่สอดคล้องกับสภาพการณ์ในปัจจุบัน ดังนั้นยุทธศาสตร์ชาติ (พ.ศ. ๒๕๖๑ - ๒๕๘๐) ประเด็นที่ ๖ การปรับสมดุลและพัฒนาระบบการบริหารจัดการภาครัฐ จึงได้กำหนดเป้าหมายที่จะพัฒนาและปรับปรุงกฎหมายให้มีความสอดคล้องและเหมาะสมกับบริบทต่าง ๆการยกเลิกกฎหมายที่ล้าสมัย และให้มีกฎหมายเท่าที่จำเป็น เพื่อให้กฎหมายเป็นเครื่องมือในการบริหารราชการแผ่นดินที่มีประสิทธิภาพเพื่อช่วยในการพัฒนาประเทศ ส่งเสริมการประกอบธุรกิจเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และอำนวยประโยชน์ต่อการใช้ชีวิตของประชาชน
สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาในฐานะหน่วยงานที่มีภารกิจหลักในการตรวจพิจารณาร่างกฎหมายการให้ความเห็นทางกฎหมาย และการพัฒนากฎหมาย จึงตราพระราชบัญญัติหลักเกณฑ์การจัดทำร่างกฎหมายและการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย พ.ศ. ๒๕๖๒ เพื่อเป็นกรอบและแนวทางในการจัดทำหรือพัฒนากฎหมาย ซึ่งการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย คือ กระบวนการทบทวนกฎหมาย เพื่อแก้ไข ปรับปรุง หรือยกเลิกกฎหมายหากหมดความจำเป็นและไม่สอดคล้องกับสภาพการณ์ปัจจุบัน หลักของการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย คือ การประเมินผลที่เกิดขึ้นจากการบังคับใช้ว่าได้ผลตรงตามวัตถุประสงค์ของการตรากฎหมายนั้นมากน้อยเพียงใด คุ้มค่ากับภาระที่เกิดขึ้นแก่รัฐและประชาชนหรือไม่ หรือมีผลกระทบอื่นอันก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรมแก่ประชาชนหรือไม่เพียงใด โดยหน่วยงานผู้รับผิดชอบกฎหมายนั้น ๆ ต้องจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนและผู้เกี่ยวข้องประกอบการประเมินฯ เพื่อปรับปรุงและพัฒนากฎหมายทุกฉบับด้วย
ประโยชน์ที่ได้จากการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย ได้แก่
๑. มีกฎหมายเพียงเท่าที่จำเป็น โดยให้ยกเลิกหรือปรับปรุงกฎหมายที่หมดความจำเป็นล้าสมัย หรือไม่สอดคล้องกับสภาพการณ์ หรือที่เป็นอุปสรรคต่อการดำรงชีวิต หรือการประกอบอาชีพเพื่อไม่ให้เป็นภาระแก่ประชาชน
๒. มีการพัฒนากฎหมายให้สอดคล้องกับหลักสากลและพันธกรณีระหว่างประเทศ
๓. ลดความซ้ำซ้อนและขัดแย้งกันของกฎหมาย
๔. ลดความเหลื่อมล้ำและสร้างความเป็นธรรมในสังคม
๕. เพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ
๖. การปรับปรุงหรือพัฒนากฎหมายที่เกิดจากการมีส่วนร่วมของประชาชน หรือผู้มีส่วนได้เสีย ผ่านการรับฟังความคิดเห็น
บทบาทของสำนักงานฯ ในการขับเคลื่อนการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย
สำนักงานฯ ในฐานะเจ้าภาพตัวชี้วัดด้านการพัฒนากฎหมายหรือยกเลิกกฎหมาย ในแผนแม่บทด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม จึงมีภารกิจในการติดตามผลการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย โดยบูรณาการร่วมกับหน่วยงานผู้รับผิดชอบกฎหมาย และสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) เพื่อสนับสนุนและผลักดันให้หน่วยงานผู้รับผิดชอบกฎหมายแต่ละฉบับดำเนินการทบทวนและประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมายตามรอบระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด โดยที่ผ่านมามีกฎหมายที่ได้รับการประเมินผลสัมฤทธิ์แล้วไม่น้อยกว่า ๑๖๔ ฉบับ เช่น พระราชบัญญัติการอำนวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตของทางราชการ พ.ศ. ๒๕๕๘ ที่อยู่ในความรับผิดชอบของสำนักงาน ก.พ.ร. ซึ่งผลการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมายนำไปสู่การปรับปรุงกฎหมายให้เหมาะสมกับสถานการณ์และสภาพสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป รองรับการให้บริการของภาครัฐให้มีความสะดวก รวดเร็ว ประหยัดค่าใช้จ่าย และยกระดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี