หลักสูตรผู้บริหารรุ่นใหม่ธุรกิจไทย-จีน รุ่นที่ 1 จัดบรรยายหัวข้อ สงครามการค้าโลก ไทยและจีนจะอยู่จุดไหน โดย ดร.ณัฐพงศ์ นำศิริกุล
หลักสูตรผู้บริหารรุ่นใหม่ธุรกิจไทย-จีน รุ่นที่ 1 (Young Executive Program) ซึ่งจัดโดย สมาคมผู้สื่อข่าวไทย-จีน ร่วมกับหอการค้าไทย-จีน โดยมีรายการจับจ้องมองจีน และ China Media Group ร่วมสนับสนุนได้จัดการบรรยายในหัวข้อ สงครามการค้าโลก ไทยและจีนจะอยู่จุดไหน โดยวิทยากร ดร.ณัฐพงศ์ นำศิริกุล (ครูพี่ป๊อป) เมื่อวันที่ 11 มกราคม 2568 ที่ผ่านมา ณ โรงแรมดิ เอมเมอรัลด์ กรุงเทพฯ
ผู้บรรยายในคลาสนี้คือ ดร.ณัฐพงศ์ นำศิริกุล ซึ่งเป็น ผู้ประกาศข่าวชื่อดัง นักธุรกิจและที่ปรึกษาธุรกิจไทย-จีน พิธีกร นอกจากนี้ยังเคยเป็นอาจารย์สอนภาษาจีนให้กับ มหาวิทยาลัยชั้นนำและล่ามแปลภาษา
ในประเด็นเกี่ยวกับ สงครามการค้าโลก ไทยและจีนจะอยู่จุดไหน โดย ดร.ณัฐพงศ์ ให้ข้อมูลถึง การทำธุรกิจส่งออกจากไทยไปจีน การนำเข้าสินค้าจากจีนมาขายในไทย และประสบการณ์ตรงและมุมมองเกี่ยวกับจีน โดยได้ตั้งคำถามว่า หากประเทศจีนหากไม่นำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ จะอยู่ได้หรือไม่ คำตอบก็คือ อาจจะอยู่ได้ เนื่องจากประเทศจีนมีกำลังการผลิตสินค้าได้เองในทุกภาคอุตสาหกรรม แต่สำหรับประเทศอื่นๆ ต้องตั้งคำถามเช่นเดียวกัน เพื่อประเมินสถานการณ์ทางการค้าว่ามีการพึ่งพากันมากน้อยแค่ไหน แล้วจึงวางแผนทางธุรกิจได้ และได้กล่าวถึงสภาวะ Overcapacity หรือกำลังการผลิตที่ล้นเกิน หากอุตสาหกรรมมีความต้องในการผลิตล้นเกินกว่าความต้องการของผู้บริโภค จะส่งผลให้สินค้านั้นราคาถูกลง เพื่อให้สินค้าขายออกได้และไม่มีสินค้าคงเหลือมาก ส่งผลดีต่อผู้บริโภค แต่ก็เป็นแรงกดดันต่อผู้ผลิตสินค้า และในระยะยาว หากไม่สามารถแข่งขันได้ ก็มีผลกระทบการต่อธุรกิจ รวมถึงการจ้างแรงงาน
นอกจากนี้ในเรื่อง Economies of Scale เป็นจุดที่ต้องประเมินเพราะเป็นความได้เปรียบของบริษัทต่างๆ ในเมื่อการผลิตเพิ่มขึ้น ก็จะทำให้ต้นทุนถูกลง เมื่อต้นทุนถูกลงจะส่งผลให้มีกำไรต่อหน่วยเพิ่มขึ้น โดยบริษัทที่มีการลงทุนขนาดใหญ่ บริษัทที่มีแบรนด์สินค้าแข็งแกร่ง ไม่จำเป็นต้องใช้งบทางการตลาดมาก และบริษัทมีธุรกิจตั้งแต่ต้นน้ำ ปลายน้ำ สามารถควบคุมทั้งห่วงโซอุปทาน ก็ทำให้ต้นทุนถูกลงอีกด้วย
ยกตัวอย่างถึงแบรนด์สินค้าของจีนที่ถือว่าเป็น Sunrise Business ที่น่าจับตามอง ซึ่งกว่าแต่ละแบรนด์ของจีนจะเข้าสู่ตลาดโลก จะต้องแข่งกันกันภายในประเทศในรอดก่อนออกสู่ตลาดโลก เช่น แบรนด์รถยนต์ของจีน (BYD, GWM, Changan Automobile) แบรนด์โทรศัพท์มือถือ (Huawei, Oppo, Vivo, Realme) แบรนด์อุปกรณ์เทคโนโลยี (Xiaomi, DJI) เป็นต้น
นอกจากนี้วิทยากรยังได้กล่าวถึง การตั้งกำแพงภาษีของสหรัฐฯ ที่เตรียมใช้นโยบายขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจีนและประเทศอื่นๆ ด้วยการขึ้นภาษีในสินค้าที่สำคัญ เช่น เทคโนโลยี ขณะที่ไทยก็อาจจะได้รับผลกระทบในระยะถัดไปผ่านทางจีนที่ได้เข้ามามีบทบาทในไทยมากขึ้น ทั้งด้านการค้า และการลงทุน
หลังจากจบการบรรยาย ผู้เข้าอบรมในแต่ละกลุ่ม ประชุมเพื่อจัดเตรียมงานเสวนาถอดบทเรียนจากผู้นำที่ประสบความสำเร็จจากโจทย์ของแต่ละกลุ่ม ประชุมโครงงานวิชาการกลุ่ม และแจ้งความคืบหน้าของการประชุมเพื่อชี้แจงให้คณะอาจารย์ที่ปรึกษาทราบต่อไป
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี