ในยุคที่การแข่งขันทางธุรกิจสูงขึ้น องค์กรต่าง ๆ ไม่เพียงแต่ต้องแสวงหาผลกำไร แต่ยังต้องให้ความสำคัญกับการสร้างความยั่งยืนในระยะยาว ซึ่งหนึ่งในปัจจัยสำคัญคือการดูแลพนักงานให้มีความสุขและมีแรงจูงใจในการทำงาน Employee Benefit หรือ สวัสดิการพนักงาน จึงกลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้องค์กรบรรลุเป้าหมายดังกล่าว บทความนี้จึงจะมาอธิบายความสำคัญในการหาบริการดูแล Employee Benefitที่ดี เพื่อช่วยส่งเสริมให้องค์กรของคุณก้าวหน้าอย่างยั่งยืน

Employee Benefit มีอะไรบ้าง ?

Employee Benefit  คือ สิทธิประโยชน์เพิ่มเติมที่พนักงานได้รับ นอกเหนือจากเงินเดือน ซึ่งมีหลากหลายรูปแบบ เช่น

• รางวัลครบรอบทำงานรายปี : แสดงถึงความขอบคุณและยกย่องพนักงานที่มีอายุงานนาน เช่น ของขวัญ เงินรางวัล หรือทริปท่องเที่ยว
• เงินบำนาญ/เงินเกษียณอายุ : เป็นสิทธิประโยชน์ที่สร้างหลักประกันให้พนักงานหลังเกษียณ ช่วยให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี และเป็นแรงจูงใจให้พนักงานยังคงร่วมเดินทางไปกับองค์กรในระยะยาว
• ประกันสุขภาพ : ครอบคลุมค่ารักษาพยาบาล ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายของพนักงาน
• โบนัส: เงินรางวัลพิเศษที่จ่ายตามผลงาน เพื่อสร้างแรงจูงใจในการทำงานให้ดียิ่งขึ้น
• การเพิ่มเงินเดือน : เป็นการปรับเงินเดือนตามผลงาน ความสามารถ และอายุงาน
• สวัสดิการอื่น ๆ : เช่น กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ประกันชีวิต ค่าเดินทาง อาหารกลางวัน ส่วนลดสินค้า ฯลฯ

Employee Benefit สำคัญอย่างไร ?

เพราะการจูงใจพนักงานให้อยู่เป็นฟันเฟืองขับเคลื่อนความก้าวหน้าขององค์กรตลอดไป เงินเดือนเพียงอย่างเดียวอาจไม่สามารถดึงรั้งไว้ได้นาน จำเป็นต้องมี Employee Benefit หรือสิทธิประโยชน์และสวัสดิการอื่น ๆ เพิ่มเติม ซึ่งมีความสำคัญ ดังนี้

• ดึงดูดและรักษาพนักงาน : สวัสดิการที่ดีเป็น “แม่เหล็ก” ดึงดูดคนเก่ง และช่วยรักษาพนักงานที่มีศักยภาพสูงให้อยู่กับองค์กรนานขึ้น
• เพิ่มขวัญกำลังใจและแรงจูงใจ : พนักงานรู้สึกมีคุณค่า ได้รับการดูแล ส่งผลต่อความผูกพัน ความภักดี และประสิทธิภาพในการทำงาน
• สร้างภาพลักษณ์ที่ดี : องค์กรที่ใส่ใจสวัสดิการพนักงาน ย่อมได้รับการยอมรับ เป็นที่น่าเชื่อถือ ทั้งในสายตาพนักงาน ลูกค้า และพันธมิตร
• ลดความเครียด เพิ่มประสิทธิภาพ : สวัสดิการช่วยลดความกังวลเรื่องค่าใช้จ่าย สุขภาพ และอนาคต ทำให้พนักงานมีสมาธิกับงานมากขึ้น

หลักการประเมินสิทธิประโยชน์และสวัสดิการ

การกำหนด Employee Benefit ให้เหมาะสมกับพนักงานแต่ละคน ต้องพิจารณาจากหลายปัจจัย  เช่น

• ผลงาน : พนักงานที่ผลงานดี ควรได้รับรางวัล โบนัส หรือการปรับเงินเดือนที่สูงกว่า
• อายุงาน: พนักงานที่มีอายุงานนาน ควรได้รับสิทธิประโยชน์เพิ่มขึ้น เช่น วันลาพักร้อนที่มากขึ้น รางวัลพิเศษเมื่อครบรอบอายุงานตามปีที่กำหนด เงินบำนาญที่สูงขึ้น
• ตำแหน่ง : พนักงานระดับบริหาร อาจได้รับสวัสดิการพิเศษ เช่น รถประจำตำแหน่ง ประกันสุขภาพระดับพรีเมียม
• รายได้และผลกำไรของบริษัท : การกำหนดสวัสดิการต้องสอดคล้องกับฐานะการเงินของบริษัท เพื่อความยั่งยืนในระยะยาว

ทำไมต้องใช้บริการ Employee Benefit จากหน่วยงานภายนอก ?

• ความเชี่ยวชาญ : บริษัทภายนอกมีความเชี่ยวชาญ ประสบการณ์ และความรู้ด้านกฎหมาย ช่วยออกแบบ บริหารจัดการ และให้คำปรึกษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ
• ประหยัดเวลาและทรัพยากร : เมื่อใช้บริการ Employee Benefit จะช่วยลดภาระงานของฝ่ายบุคคล ทำให้มีเวลาไปโฟกัสกับงานด้านอื่น ๆ ที่สำคัญกว่า และยังทำให้พนักงานได้รับสิทธิประโยชน์และสวัสดิการต่าง ๆ ได้เร็วขึ้น
• เข้าถึงเทคโนโลยี : บริษัทภายนอกที่ให้บริการด้าน Employee Benefit โดยเฉพาะ จะมีระบบ เครื่องมือและเทคโนโลยีที่ทันสมัย ช่วยบริหารจัดการสวัสดิการได้สะดวก รวดเร็ว และแม่นยำ
• ลดความเสี่ยง : บริษัทที่ให้บริการด้าน Employee Benefit จะมีความรอบคอบด้านข้อกำหนดและกฎหมาย จึงช่วยลดความผิดพลาด ข้อพิพาท และปัญหาทางกฎหมายที่อาจเกิดขึ้นได้

จะเห็นได้ว่าการลงทุนใน Employee Benefit คือการลงทุนใน "ทรัพยากรมนุษย์" จึงควรให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง เพราะเป็นทรัพย์สินที่มีค่าที่สุดขององค์กร ช่วยสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน และขับเคลื่อนองค์กรสู่ความยั่งยืนในระยะยาว