เปรียบเทียบ LipoCube SVF vs PRP ทางเลือกไหนตอบโจทย์ปัญหาผิวของคุณได้ดีที่สุด? ชวนอ่านจุดเด่น ผลลัพธ์ และราคา เพื่อการตัดสินใจที่คุ้มค่าของคุณ
ปัจจุบันนี้ การดูแลผิวพรรณกลายเป็นเรื่องสำคัญสำหรับทุกเพศทุกวัย เทคโนโลยีและนวัตกรรมด้านความงามได้พัฒนาไปอย่างก้าวกระโดดเพื่อตอบสนองความต้องการในการฟื้นฟูสภาพผิวและริ้วรอยต่าง ๆ นำมาซึ่งทางเลือกมากมายในการฟื้นฟูผิว โดยเฉพาะการรักษาด้วย LipoCube SVF และ PRP ที่กำลังได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน ทั้งสองวิธีนี้มีจุดเด่นที่แตกต่างกัน แต่มีเป้าหมายเดียวกันคือการฟื้นฟูผิวให้กลับมามีสุขภาพดี เราจะมาทำความรู้จักและเปรียบเทียบทั้งสองวิธีนี้อย่างละเอียด เพื่อหาตัวเลือกที่เหมาะสมและคุ้มค่ากับการตัดสินใจของคุณมากที่สุด
LipoCube SVF (Stromal Vascular Fraction) เป็นนวัตกรรมการรักษาที่ใช้เซลล์ต้นกำเนิดจากไขมันของตัวผู้รับการรักษาเอง โดยกระบวนการเริ่มจากการดูดไขมันจากบริเวณที่มีไขมันสะสม เช่น หน้าท้อง ต้นขา หรือสะโพก จากนั้นนำไขมันมาผ่านกระบวนการสกัดด้วยเทคโนโลยี LipoCube เพื่อแยกเอาเฉพาะส่วนที่มีเซลล์ต้นกำเนิดความเข้มข้นสูง โดยเซลล์ต้นกำเนิดที่ได้จะมีคุณสมบัติพิเศษในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน เพิ่มการไหลเวียนเลือด ฟื้นฟูเซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพ เร่งกระบวนการซ่อมแซมผิว ทำให้ผิวสุขภาพดีจากภายใน
PRP (Platelet-Rich Plasma) เป็นการรักษาที่ใช้พลาสมาที่มีความเข้มข้นของเกล็ดเลือดสูงจากเลือดของผู้รับการรักษาเอง โดยกระบวนการเริ่มจากการเจาะเลือดประมาณ 10-20 มิลลิลิตร แล้วนำไปปั่นแยกด้วยเครื่องเฉพาะเพื่อให้ได้พลาสมาที่มีความเข้มข้นของเกล็ดเลือดสูง โดยจะมีคุณสมบัติในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน เร่งการหายของแผล ลดการอักเสบ ปรับสมดุลผิว
ในหัวข้อนี้ เราจะมาลงลึกถึงรายละเอียดระหว่าง LipoCube SVF vs PRP เพราะถึงแม้จะเป็นการรักษาที่ใช้สารจากร่างกายของผู้รับการรักษาเอง แต่มีความแตกต่างในหลายด้านที่สำคัญ
LipoCube SVF : ใช้เซลล์ต้นกำเนิดจากไขมันที่มีประสิทธิภาพสูงในการฟื้นฟูผิว จึงทำให้สามารถกระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เหมาะสำหรับการฟื้นฟูผิวในระดับลึก
PRP : เป็นหัตถการที่ใช้เกล็ดเลือดเข้มข้นในการกระตุ้นการซ่อมแซมผิว เน้นการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและการหายของแผล เหมาะสำหรับการฟื้นฟูผิวในระดับผิวหนังชั้นตื้นหรือผิวชั้นนอกเท่านั้น
LipoCube SVF : ใช้เวลาฟื้นตัว 3-7 วัน และอาจมีอาการบวมเล็กน้อยในบริเวณที่ฉีด หลังจากเข้ารับบริการหัตถการแล้ว ควรหลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนัก 1 สัปดาห์
PRP : ใช้ระยะเวลาในการฟื้นตัว 1-3 วัน อาจมีรอยแดงหรือจ้ำเล็กน้อยบริเวณที่ฉีด และสามารถกลับไปทำกิจกรรมปกติได้ทันที ทั้งนี้ควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสแดดจัด 24-48 ชั่วโมง
LipoCube SVF : ราคาเริ่มต้นประมาณ 50,000-100,000 บาท ต่อครั้ง ทั้งนี้ราคาขึ้นอยู่กับปริมาณไขมันที่ใช้และพื้นที่การรักษา ถือเป็นหัตถการที่คุ้มค่าในระยะยาวเนื่องจากผลการรักษาอยู่ได้นาน
PRP : ราคาเริ่มต้นประมาณ 15,000-30,000 บาท ต่อครั้ง ราคาขึ้นอยู่กับพื้นที่การรักษา ค่าใช้จ่ายรวมต่อปีเพื่อให้ได้ผลเทียบเท่ากัน อาจใกล้เคียงกับราคา LipoCube SVF หนึ่งครั้ง
การเลือกระหว่าง LipoCube SVF และ PRP ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ ทั้งสภาพผิว เป้าหมายการรักษา และงบประมาณ โดย LipoCube SVF เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ที่คงทนและการฟื้นฟูผิวในระดับลึก แม้จะมีค่าใช้จ่ายต่อครั้งที่สูงกว่า แต่จำนวนครั้งในการรักษาน้อยกว่า ในขณะที่ PRP เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการการฟื้นฟูผิวแบบค่อยเป็นค่อยไป มีระยะเวลาพักฟื้นสั้น และสามารถแบ่งงบประมาณในการรักษาเป็นครั้ง ๆ ได้
ทั้งสองวิธีมีประสิทธิภาพในการฟื้นฟูผิว แต่มีจุดเด่นที่แตกต่างกัน การปรึกษาแพทย์หรือผู้ชำนาญการเพื่อประเมินสภาพผิวและความเหมาะสมในการรักษาจึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้คุณเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับคุณ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี