DeepSeek AI จากจีนกำลังเป็นประเด็นร้อนในแวดวงปัญญาประดิษฐ์ (AI) ระดับโลก ซึ่งไม่ได้เป็นเพียงแค่ AI โมเดลใหม่จากจีน แต่ยังสะท้อนถึง แนวทางการพัฒนา AI ที่แตกต่างจากโลกตะวันตก โดยเน้น “เพิ่มประสิทธิภาพ-ลดต้นทุน” และพยายามลดการพึ่งพาทรัพยากรด้านชิปประมวลผลจากสหรัฐฯ
แม้จะเพิ่งได้รับความสนใจในวงกว้าง แต่จริงๆ แล้ว DeepSeek ไม่ใช่ของใหม่เสียทีเดียว เพราะโมเดลนี้ ถูกพัฒนามาตั้งแต่ปีก่อน และอยู่ในกระแสของ AI จีนที่มุ่งเน้นการใช้ Mixture of Experts (MoE) ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมที่ช่วยให้ AI ทำงานได้ดีขึ้นภายใต้ทรัพยากรที่จำกัด ซึ่งมีการพูดถึง MoE มาเป็น 20 ปีแล้ว แต่สถาปัตยกรรมการพัฒนา AI model แบบ MoE เริ่มแมสขึ้น เพราะ DeepSeek มาอยู่ในแสงความสนใจวงกว้าง และในเวลาประกอบกับสถานการณ์ที่เหมาะสม โดยใช้องค์ความรู้เดิม อย่าง MoE ที่เคยใช้ในงานอื่น ไม่จำเป็นต้องเป็นองค์ความรู้ใหม่ล่าสุด
MOE ไม่ได้เพิ่งถูกใช้โดย DeepSeek โดยการพัฒนา AI model ในจีน ใช้แนวทางนี้กันเยอะขึ้นเรื่อยๆ เพราะเน้นที่ เพิ่มประสิทธิภาพ ภายใต้ทรัพยากรจำกัด โดยเฉพาะชิปประมวลผล แตกต่างจากโมเดล AI ขนาดใหญ่ของตะวันตก ที่มักต้องใช้ทรัพยากรจำนวนมากในการประมวลผล ซึ่งพูดแบบเข้าใจง่ายๆ คือ DeepSeek ใช้แนวคิดเดียวกับ GPT แต่ปรับให้ รองรับทรัพยากรที่มีจำกัดได้ดีกว่า
อีกสิ่งที่ทำให้หลายคนประหลาดใจคือ DeepSeek เป็นโครงการโอเพ่นซอร์ส ซึ่งขัดกับภาพลักษณ์เดิมของจีนที่เน้นระบบปิด พอมีการเปิดโค้ดทำให้เกิดกระแสความสนใจจากนักพัฒนาและนักวิจัยทั่วโลก
DeepSeek ยังถูกพูดถึงและยกย่องอย่างมาก ด้านความสามารถด้านตรรกะและคณิตศาสตร์ที่โดดเด่น ซึ่งเป็นหนึ่งในจุดแข็งของ AI จีน
หนึ่งในคำถามที่หลายคนสงสัยคือ DeepSeek AI จะสามารถแข่งขันกับโมเดล AI ระดับโลกของฝั่งอเมริกาและตะวันตกที่มีมาก่อนหน้า ได้หรือไม่?
ปัจจุบัน DeepSeek ได้รับความสนใจเพิ่มขึ้น เพราะมันไม่ได้เป็นแค่โมเดลที่เคลมว่ามีประสิทธิภาพสูงขึ้น แต่เป็นสัญลักษณ์ของ การเปลี่ยนแปลงในแนวทางการพัฒนา AI ของจีน โดยมุ่งเน้นไปที่
• การพัฒนา AI ที่มีต้นทุนต่ำแต่มีประสิทธิภาพสูง
• ลดการพึ่งพาทรัพยากรจากสหรัฐอเมริกา
• เปิดให้มีการพัฒนาแบบโอเพ่นซอร์ส
ต้องยอมรับว่า แม้ DeepSeek หรือ AI จีน จะยังถูกนานาชาติโดยเฉพาะตะวันตกและอเมริกา ตั้งข้อกังขาถึงประสิทธิภาพ และเรื่องของความโปร่งใสของข้อมูลที่ใช้ในการเทรน แต่การเปิด Opensource ของ DeepSeek และการพัฒนาที่มุ่งเน้นการลดต้นทุนแต่ได้ประสิทธิภาพที่ทัดเทียมกับของอเมริกาและตะวันตก ก็ทำให้เกิดแสงสว่างของการพัฒนา AI และเทคโนโลยีจีน อีกทั้งเป็นการต่อยอดเพื่อให้เกิดผลิตภัณฑ์ AI ใหม่ๆ ทั้งในประเทศ และการร่วมมือกับต่างประเทศของแบรนด์จีน ไม่ต่างไปจากปรากฏการณ์ EV จีน ที่ก้าวสู่ระดับโลกไปแล้ว
ที่สำคัญ DeepSeek AI ไม่ได้เป็นเพียงแค่โมเดล AI จากจีน แต่ยังเป็น สัญลักษณ์ของการพัฒนา AI ที่สามารถแข่งขันกับเทคโนโลยีของสหรัฐฯ ดังที่ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เคยออกมาเคลื่อนไหวถึงการเปิดตัวของ DeepSeek ว่าเป็น ดั่ง Wake-up call สัญญาณเตือนสำหรับสหรัฐฯ ไม่ว่าจะในภาคการเมืองและธุรกิจอเมริกันเกี่ยวกับความก้าวหน้าของจีนในด้าน AI และศักยภาพที่อาจแซงหน้าการพัฒนาของสหรัฐฯ
ในมุมมองของผู้เขียน มองว่า ขณะที่จีนมุ่งเน้นพัฒนาภายใต้ข้อจำกัด โดยเฉพาะฮาร์ดแวร์ อย่างชิปประมวลผล ที่มีแรงกดดันสูงจากอเมริกาที่จำกัดการส่งออกและร่วมมือระหว่างอเมริกากับในจีน
แต่ไม่ได้หมายความว่า จีนจะดำเนินแนวทางนี้ไปตลอด คือ มีสัญญาณที่เห็นได้ชัดเจนจากทั้งเชิงนโยบายของทางการจีนและสัญญาณในภาคการศึกษาและภาคธุรกิจจีน สำหรับการพัฒนาของเซมิคอนดักเตอร์และชิปประมวลอย่างยิ่งสำหรับงาน AI โดยตรง ซึ่งเราได้เห็นแล้วว่าปีที่ผ่านมา ในภาคการศึกษา ก็บรรจุหลายหลักสูตรที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาวัสดุใหม่และการสร้างเซมิคอนดักเตอร์ รวมถึงแร่หายาก หรือ แรร์เอิร์ธ ที่ใช้ในอุตสาหกรรมชิปประมวลผลเป็นหลัก กล่าวคือ วางแผนพัฒนาตั้งแต่ต้นน้ำ จนถึงปลายน้ำ
DeepSeek และ AI จีน ไม่ได้พัฒนาชั่วข้ามคืน
กว่าสิบปีแล้ว ที่เราได้ยินนโยบาย Made in China 2025 ที่จีนเริ่มดำเนินการในปี 2015 ภายใต้จุดมุ่งหมายเพื่อเปลี่ยนจีนจากการเป็นแค่โรงงานผลิตของโลก หรือใช้นวัตกรรมคนอื่นมาผลิตสินค้า เปลี่ยนเป็นการสร้างเทคโนโลยีและนวัตกรรมของจีน ทั้งบริโภคหรือใช้เองในจีนและส่งออกสู่ตลาดโลก และต่อยอดมาเป็นเศรษฐกิจขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม และผลผลิตคุณภาพใหม่ (new quality productivity) ที่ริเริ่มโดย สี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน และกลายเป็น buzz word ในยุคหลังโควิด (post-covid) ปี 2023 เป็นต้น โดย AI ก็รวมอยู่ในนโยบายเหล่านี้อย่างแน่นอน
โดยจีน ออกแนวทางสำหรับการพัฒนาอุตสาหกรรม AI ตั้งแต่ปี 2017 โดยมีเป้าหมายให้ AI จีน เป็นผู้นำของโลกภายในปี 2030 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผนยุทธศาสตร์ ในการเปลี่ยนประเทศจากศูนย์กลางการผลิตแบบดั้งเดิมไปสู่ ประเทศแห่งนวัตกรรมทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ก็คือ Made in China 2025 ตามที่กล่าวข้างต้น โดยหนึ่งในคีย์ส่งเสริมสำคัญของรัฐบาลจีน ได้แก่ การพัฒนาภาคการศึกษา ตั้งแต่ระดับอนุบาลเสียด้วยซ้ำ โดยทำให้คุ้นเคยกับการเขียนโค้ด และการคิดแบบตรรกศาสตร์และเชิงวิทยาศาสตร์ เพื่อสร้างบุคลากรในอนาคต ไปจนถึงการจัดสรรงบประมาณ และสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่เหมาะสม ดังนั้น ไม่ใช่เรื่องบังเอิญอย่างแน่นอนสำหรับการพัฒนา AI จีน และการทำให้โลกรู้จักศักยภาพ AI จีน ผ่าน DeepSeek
ถ้าดูจากตัวเลขสถิติ ผู้ใช้ Generative AI อันหมายถึง AI สร้างสิ่งใหม่ อย่างเช่น DeepSeek ตั้งแต่ปี 2024 จีนมีผู้ใช้ Generative AI เกิน 600 ล้านบัญชี (user) ซึ่งปัจจุบันในจีน ไม่สามารถใช้ ChatGPTไม่ได้ แต่มีของจีนให้บริการเกิน 200 ราย ภายใต้บริษัท AI มากกว่า 4,500 แห่ง และถ้าดูจำนวนสิทธิบัตร Generative AI ก็มีมากสุดในโลก มากกว่าอเมริกา 6 เท่า โดยจีนมี 38,000 ฉบับ
ในแง่การลงทุน ข้อมูลจากทางสถาบันอินเทอร์เน็ตอุตสาหกรรมแห่งประเทศจีน หรือ China Academy of Industrial Internet ระบุว่า จีนลงทุนด้าน AI เป็นอันดับสองของโลก 5.5 พันล้านดอลลาร์ เทียบกับอเมริกา ยังครองเบอร์1 ลงทุนราว 6.4 หมื่นล้านดอลลาร์ ต่างกัน เกิน 11 เท่า เป็นข้อมูลจากทางสถาบันอินเทอร์เน็ตอุตสาหกรรมแห่งประเทศจีน หรือ China Academy of Industrial Internet
นอกจากจะมุ่งเน้นการพัฒนาบุคลากร โครงสร้างพื้นฐาน และผลผลิต AI แล้ว จีนยังให้ความสำคัญกับ ‘การจัดระเบียบและควบคุมการใช้ AI ของมนุษย์ เพื่อให้เกิดประโยชน์แก่มนุษย์มากที่สุด’ ในการประชุมอินเทอร์เน็ตโลก Wuzhen Summit 2024 ณ เมืองโบราณอูเจิ้น มณฑลเจ้อเจียง จีนได้เปิดตัวคณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญด้านปัญญาประดิษฐ์ชุดใหม่เพื่อมีอิทธิพลต่อการพัฒนาและการกำกับดูแลปัญญาประดิษฐ์ในระดับโลก โดยไม่ได้มีแค่ผู้เชี่ยวชาญจากจีน แต่มีผู้เชี่ยวชาญจากอังกฤษ และประเทศอื่นๆ ราว 170 คน
ต้องจับตาดูอย่างใกล้ชิดว่าการพัฒนา AI จีนจะเป็นไปตามเป้าหมายหรือไม่ ทว่าปฏิเสธไม่ได้ครับว่า อนาคตดูสดใสไม่น้อย เพราะเตรียมการไว้รอบด้านจริงๆ
เขียนโดย : ภากร กัทชลี อาจารย์ประจำภาควิชาการตลาด คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และ ผู้เชี่ยวชาญจีน เจ้าของเพจอ้ายจง
.-008
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี