“บอดี้การ์ด” (Bodyguard) หรือแปลแบบไทยๆ ว่า “องครักษ์” เป็นอีกอาชีพหนึ่งที่คุ้นเคยกันดี เห็นได้จากบุคคลสำคัญ (VIP-Very Important Person) ไม่ว่าจะเป็นนักการเมือง ข้าราชการระดับสูง นักธุรกิจ ตลอดจนดารา-คนวงการบันเทิง เมื่อต้องเดินทางไปงานต่างๆ รอบๆ ตัวพวกเขามักจะมีคนกลุ่มหนึ่ง เป็นชายบ้างหญิงบ้าง ออกท่าทางขึงขัง ทำหน้าที่อำนวยความสะดวก ตลอดจนป้องกันเหตุไม่คาดคิดที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ
แม้กระทั่งการชุมนุมทางการเมืองทุกครั้ง นอกจากบรรดาการ์ดอาสา ที่รับสมัครจากมวลชนทั่วไปมาทำงานอำนวยความสะดวกและรักษาความปลอดภัยในพื้นที่ชุมนุมแล้ว ยังมีการ์ดมืออาชีพ หรือกลุ่มคนที่รับงานอารักขาบุคคล (แกนนำ) โดยเฉพาะ คนกลุ่มนี้มักจะเป็นหรือเคยเป็นทหาร-ตำรวจ ซึ่งจะผ่านการฝึกฝนและมีประสบการณ์มาพอสมควร แต่ก็มีบ้างที่มาจากสายงานอื่นๆ เช่นกลุ่มคนที่ฝึกศิลปะการต่อสู้ (Martial Arts) เป็นต้น
“ผู้การที่ให้ผมมาเป็นการ์ดให้หลวงปู่ รู้จักท่านเมื่อตอนปี 2551 ตอนนั้นผมสอนป้องกันตัวให้ ชรบ. ที่ปัตตานี และสอนทักษะป้องกันตัว โดยเฉพาะการหักคอ แล้วผู้การเข้ามาถามว่า..น้องเคยเรียนมวยไชยาหรือเปล่า? เห็นมีท่าหนึ่งคล้ายๆ มวยไชยา..ผมก็ตอบว่าครับพี่ แกก็บอกว่าพี่ก็เรียนมวยไชยานะ ถามว่าเรียนกับครูทองใช่ไหม? ซึ่งมีครูมวยคนเดียวกัน ผมเรียนปี 2530 ส่วนแกเรียนปี 2528 เลยทำให้คุยกันง่ายขึ้น”
ชีวิน อัจฉริยะฉาย ผู้ก่อตั้งโรงเรียนศิลปศาสตร์การป้องกันตัวไทยฟูโด (Taifudo) และเคยทำงานเป็นบอดี้การ์ดให้กับคนดังหลายราย เล่าถึงการเข้ามาทำงานรักษาความปลอดภัย ณ เวที กปปส. แจ้งวัฒนะ ของพระพุทธะอิสระ เนื่องจากได้รับการชักชวนจากนายทหารที่รู้จักกันสมัยเดินทางไปสอนศิลปะการต่อสู้ให้กับเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้
อีกทั้งนายทหารคนนี้ยังเป็นศิษย์สำนัก “มวยไชยา” วิชามวยที่เลื่องชื่อทางภาคใต้ เช่นเดียวกับตัวเขา จึงทำให้สนิทสนมกันอย่างรวดเร็ว คุณชีวิน ระบุว่าเดินทางเข้ามากรุงเทพฯ เมื่อต้นเดือนมกราคม 2557 ซึ่งตรงกับช่วงปฏิบัติการ “Bangkok Shut Down” 7 จุด ของกลุ่ม กปปส. พอดี จากนั้นนายทหารคนดังกล่าวได้พาไปแนะนำกับพระพุทธะอิสระ ณ เวทีแจ้งวัฒนะ และเป็นบอดี้การ์ดให้จนถึงสิ้นสุดการชุมนุมเมื่อ 22 พ.ค. 2557 ที่ผ่านมา
“เมื่อได้ติดต่อมอบภารกิจให้ผมวันที่ 12มกราคม ช่วงเช้าโทรศัพท์คุยกันบอกว่าว่างไหมชีวิน? มีงานให้ช่วย ถามว่างานอะไร? แกก็บอกว่ามาก่อน พอผมจองตั๋วเครื่องบินมาเลย มาถึงสนามบินดอนเมืองเกือบ 1 ทุ่ม แกมารับผมแล้วบอกว่าอยากให้ผมดูแล VIP คนหนึ่ง
พาไปเจอหลวงปู่ตอนกำลังเดินตรวจฐานพื้นที่เวที กปปส. แจ้งวัฒนะ ผมก็ถามพี่ว่าเป็นพระเหรอ ผมทำตัวไม่ถูกนะ แกบอกว่าเป็นอาจารย์พี่ตอนที่บวช พอบอกเป็นอาจารย์ ซึ่งชีวิตของเราก็อยู่กับครูอาจารย์ และพอพาเราไปแนะนำกับหลวงปู่ ท่านก็มองเราแวบหนึ่ง แล้วก็พูดว่า..เอ้อ..แค่นั้น ตั้งแต่วันแรกจนวันสุดท้ายที่ทำภารกิจท่านไม่เคยถามเลยว่าชีวินเป็นใคร มาจากไหน
อย่างเคยเล่าให้ฟังผมอยู่กับท่านจะพูดแค่ 3คำ..ขอโทษครับ..เมื่อทำอะไรผิดพลาด ซึ่งจะเป็นน้องๆ แล้วท่านจะติมา..จะปรับปรุงครับ..และ..จะจัดการให้ครับ..อารมณ์จะประมาณนี้ จะไม่เถียง จะไม่ไปแก้ตัว เพราะเราอยู่กับครูอาจารย์ที่สอนหมัดมวยมา แล้วดูจากหัวหน้าการ์ดที่เวลาลูกน้องทำผิดแล้วไปแก้ตัว หลวงปู่ฯจะยิ่งต้อนใหญ่ ซึ่งผมมาอยู่เดือนแรกรู้แล้วหลวงปู่ฯผมพูดแค่ 3 คำนี้ แล้วจบเลย แต่ไม่ใช่เอาใจ ซึ่งแกจะมีวลีง่ายๆขำๆ เวลาใครทำผิดจะพูดว่า..กูจะตบหัวทิ่ม..” คุณชีวิน กล่าว
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกกับการรับงานอารักขาบุคคล ก่อนหน้านี้คุณชีวินเคยเป็นทั้งบอดี้การ์ด และทีมงานออกแบบคิวบู๊ให้กับ “จา พนม” ทัชชกร ยีรัมย์ ดาราแอ็กชั่นชื่อดังของไทยมาแล้ว ในช่วงที่จาแยกตัวจากค่ายหนังยักษ์ใหญ่ออกมาทำภาพยนตร์เอง แต่ในครั้งนั้นค่อนข้างลำบากพอสมควร เพราะเวลาจา พนม ไปโชว์ตัวในต่างประเทศ บริษัทที่ร่วมงานด้วยและบอดี้การ์ดของที่นั่นไม่ให้ความเชื่อถือ ทำให้ต้องดิ้นรนไปเรียนหลักสูตรบอดี้การ์ดเพิ่มเติมจนได้ใบรับรองวิชาชีพ ซึ่งทำให้การทำงานในระดับสากลเป็นไปโดยสะดวกมากขึ้น
“ช่วงปี 2550 ผมรับหน้าที่เป็นที่ปรึกษาด้านการต่อสู้ป้องกันตัวให้จา พนม เรื่องภาพยนตร์องค์บาก 2-3 ซึ่งในช่วงที่ไปต่างประเทศติดตามจา จะมีเจ้าหน้าที่แต่ละสถานที่เข้ามาห้ามไม่ให้ตามเข้าไป ทำให้จาต้องบอกว่านี่เป็นบอดี้การ์ดของเขา ทำให้เรารู้สึกว่าถ้ากลับมาแล้วคิดว่าน่าจะไปฝึกอบรมงานด้านอารักขา จากการที่เข้าไปSearch พบข้อมูลบริษัท International Detective Thailand สอนหลักสูตรบอดี้การ์ด ก็ติดต่อเขาขอเรียนหลักสูตรเร่งรัดตัวต่อตัวต้องการแบบเร่งรัด ฝึกอัดเต็มสัปดาห์ตั้งแต่ 8 โมงเช้าถึงสามทุ่มตลอดหนึ่งสัปดาห์
ได้ชวนเพื่อนมาเรียนด้วยอีก2คน สอนทักษะการยิงปืน ทักษะการอารักขาทักษะการเข้าขบวน หลังการฝึกแล้วผ่านการสอบก็ได้รับบัตรการทำงานไปไหนก็สะดวกขึ้น และเป็นหน้าตาของVIPที่เราทำหน้าที่บอดี้การ์ดด้วย ซึ่งหลังจากได้ใบ certificate (ใบรับรอง) จะต้องต่ออายุทุกปี ก่อนจะต่ออายุทุก 3 ปี และทุก 5 ปีต่อครั้ง เมื่อได้ใบรับรองนี้เมื่อไปทำงานที่ต่างประเทศจะง่ายขึ้น”
ครูมวยและบอดี้การ์ดอาชีพรายนี้ อธิบายต่อไปอีกว่า ชีวิตบอดี้การ์ดจริงๆ ค่อนข้างจะต่างจากในละครหรือภาพยนตร์พอสมควร เพราะบอดี้การ์ดจริงๆ ภารกิจไม่ได้เน้นการต่อสู้แบบบู๊ล้างผลาญ แต่เป็นการทำทุกวิถีทางเพื่อพา VIP ออกไปจากสถานการณ์คับขันโดยเร็วที่สุด หรือป้องกันมิให้เกิดเรื่องใดๆ ก็ตาม ที่จะทำให้งานสะดุดเสียบรรยากาศ นั่นหมายถึงหน้าฉากที่การจัดงานต่างๆ เป็นไปอย่างราบรื่น ไม่มีเรื่องวุ่นวายใดๆ หลังฉากคือบอดี้การ์ดและทีม รปภ. ได้ตระเตรียมและดูแลพื้นที่ทั้งหมดให้เรียบร้อยแล้ว
คุณชีวิน ยังเปรียบเทียบอีกว่า ในการทำงานกับจา พนม หรือบุคคลอื่นๆ ค่อนข้างจะเป็นระบบ ได้ใช้ความรู้ที่เรียนมาเต็มที่ ยกตัวอย่างการเป็นบอดี้การ์ดให้นักร้องรายหนึ่ง งานที่ทำคือต้องมาเคลียร์พื้นที่ สำรวจเส้นทางล่วงหน้าเตรียมก่อนวันอารักขา เช่นนักร้องลงจากสนามบินเข้าโรงแรม ก็ต้องให้ตารางมาก่อน ดูเส้นทางจราจรติดขัดหรือไม่ รวมทั้งมาตรวจตราดูที่พักโดยยื่นบัตรการ์ดขออนุญาตเคลียร์
เพราะบางโรงแรมต้องขึ้น-ลงลิฟท์หลายจุดก่อนเข้าห้องพัก ถ้าไม่สำรวจก่อนอาจเกิดปัญหาได้ตอนนำ VIP ไปส่งห้องพัก ต้องทำการบ้านว่า VIP จะให้สัมภาษณ์ตอนไหน ที่ไหน รวมทั้งต้องให้ข้อมูลแจ้งว่าใครเป็นคนใกล้ชิด VIP และบุคคลใดที่ให้เข้าพบได้ แม้กระทั่งเพื่อนของ VIP เองก็ห้ามเข้าพื้นที่ หากไม่ได้ให้ข้อมูลไว้ล่วงหน้า
แต่สำหรับการเป็นการ์ดที่เวที กปปส. แจ้งวัฒนะ มีความแตกต่างออกไป ผู้มาทำหน้าที่อารักขาพระพุทธะอิสระ จำนวนไม่น้อยเป็นคนจากวัดบ้าง เป็นญาติโยมบ้าง พูดง่ายๆ คือมาจากผู้ที่มีความศรัทธาในพระพุทธะอิสระอาสามาเป็นหลัก แล้วค่อยมาฝึกสอนงาน รปภ. กันภายหลัง ที่สำคัญ ต้องยอมรับว่าพระพุทธะอิสระมักไปในที่ที่เสี่ยงอันตราย แน่นอนมวลชนจำนวนมากย่อมติดตามไปด้วย ทำให้การอารักขาทำได้ลำบากกว่าพอสมควร
“หลักการทำหน้าที่การ์ดนั้น ที่ไหนอันตรายต้องถอยร่นหนี ไม่พา VIP ไปในพื้นที่นั้นๆ แต่หลวงปู่เราตรงไหนไม่ปลอดภัย กูจะเดินเข้าไป อย่างวันนั้นที่โดนแก๊สน้ำตา ผมเสียความรู้สึกมากเลยนะ ซึ่งที่ ศอ.รส. (สโมสรตำรวจ) ตอนแรกที่โดนฉีดน้ำแรงดันสูงยัง OK นะ ผมบอกเพื่อนพี่น้องการ์ดไว้ล่วงหน้าว่าถ้าเกิดเหตุอะไรขึ้น ให้ชุดหนึ่งเท่านั้นที่เข้า Protect (คุ้มกัน) ที่เหลือเตรียมเคลียร์ข้างหลังให้โล่งๆ แล้วพาออก ที่จริงผมยืนบล็อกน้ำคนเดียว ที่เหลือต้องพาหลวงปู่ออก
แต่สุดท้ายกลายเป็นว่าทุกคนรักหลวงปู่ไง พากันเข้ามาอัดปิดทางพาตัวออกมา และรวดเร็วมากต่อมาแก๊สน้ำตาลงซึ่งผมไม่ได้เตรียมมารับสถานการณ์นั้น หลังเหตุการณ์วันนั้นกลับมาคิดว่าตายห่าแล้ว เพราะทำงานแบบนี้เป็นอะไรที่เราคุมงานไม่ได้เลย และมวลชนข้างหลังก็พยายามที่จะดันเข้ามาแหวกออกไม่ได้ หลวงปู่ต้องติดอยู่อย่างนั้น เทียบกับเหตุการณ์ที่ต้องเผชิญหน้าเจอกับคนถืออาวุธปืนสิบคนยังดีกว่า”
คุณชีวิน เล่าถึงเหตุไม่คาดฝันที่พบระหว่างมวลชน กปปส. แจ้งวัฒนะ เคลื่อนขบวนไปที่สโมสรตำรวจ และย้ำอีกครั้งว่าการวางแผน สำรวจเส้นทาง มีหมายกำหนดการ มีขั้นตอนอย่างละเอียดเป็นสิ่งสำคัญมากกับงานรักษาความปลอดภัย เพราะหากเกิดความผิดพลาดใดๆ ก็ตาม จนทำให้บุคคลที่อารักขามีอันตราย
นั่นหมายถึงหมดอนาคตในการประกอบอาชีพด้านนี้ทันที
สิริพร พานทองถาวร
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี