ยังคงเป็นหนึ่งใน “ภัยความมั่นคงของชาติ”ที่พบอย่างต่อเนื่องจริงๆ สำหรับ “ไกด์เถื่อน”หรือชาวต่างชาติที่ไม่มีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพมัคคุเทศก์ แต่มาทำหน้าที่นำเที่ยวในประเทศไทย และได้ก่อพฤติกรรม “สุดเอือม” ไว้มากมาย เช่น บังคับขู่เข็ญนักท่องเที่ยวที่เป็นคนชาติเดียวกับไกด์กลุ่มนี้ ให้ต้องซื้อของที่ระลึกในราคาที่แพงเกินจริง หรือให้ไปชมโชว์ลามกอนาจารทั้งที่ไม่ต้องการไป ซ้ำร้ายบางรายยังบอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับประเทศไทยในทางที่ผิด จนทำให้นักท่องเที่ยวมองคนไทยในแง่ลบ ทั้งที่เรื่องเล่าเหล่านั้นไม่ใช่เรื่องจริงแต่ประการใด
และสาเหตุที่ทำให้ไกด์เถื่อนเหล่านี้ระบาดหนัก ส่วนหนึ่งมักพูดกันอยู่เสมอว่า “คนไทยขาดทักษะทางภาษา” คือมัคคุเทศก์ชาวไทยมีความรู้ทางภาษาต่างประเทศที่ไม่สอดคล้องกับนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะ “ภาษาจีน-ภาษารัสเซีย-ภาษาเกาหลี” ที่มีผู้รู้จำนวนน้อย ดังล่าสุด กับกระแสข่าวที่ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา มีแนวคิดให้ชาวต่างชาติจดทะเบียนเป็นไกด์ได้ ท่ามกลางเสียงคัดค้านจากไกด์ชาวไทย เช่นที่ จ.เชียงใหม่ มีการรวมตัวประท้วงไปเมื่อ 21 มิ.ย. 2558 ที่ผ่านมา จากนั้นในวันที่ 23 มิ.ย. 2558 ได้ไปยื่นหนังสือคัดค้านที่ศาลากลางจังหวัด
นายพงษ์ศักดิ์ อินธรรม ประธานกลุ่มเครดิตยูเนี่ยนท่องเที่ยวมัคคุเทศก์จังหวัดเชียงใหม่ กล่าวว่า หากนโยบายนี้ออกมา จะส่งผลกระทบทั้งต่อไกด์ชาวไทย อีกทั้งไกด์ต่างชาติมักอธิบายเกี่ยวกับประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมไทยอย่างบิดเบือนไปจากความเป็นจริง ทำให้ภาพลักษณ์ประเทศไทยเสื่อมเสียต่อสายตาชาวโลก
“สกู๊ปหน้า 5” สอบถามไปยัง น.ส.วรรณสิริ โมรากุล รองอธิบดีกรมการท่องเที่ยว เบื้องต้นได้รับคำยืนยันว่า กรมการท่องเที่ยวไม่มีนโยบายให้บรรดาไกด์เถื่อนมาขึ้นทะเบียน และไม่สามารถทำได้ด้วยเพราะกฎหมายระบุว่าผู้ประกอบวิชาชีพมัคคุเทศก์ต้องเป็นคนสัญชาติไทยเท่านั้น
“เรามีอาชีพสงวนประมาณ 30 อาชีพ รวมทั้งมัคคุเทศก์ด้วย มันทำไม่ได้ เราไม่มีนโยบายออกบัตรให้กับคนต่างด้าวเป็นไกด์ มันเป็นไปไม่ได้เพราะกฎหมายไม่ให้” รองอธิบดีกรมการท่องเที่ยว ยืนยัน
สอดคล้องกับ นายวิโรจน์ สิตประเสริฐนันท์ นายกสมาคมมัคคุเทศก์อาชีพแห่งประเทศไทย ที่กล่าวว่า เรื่องนี้น่าจะเป็นความเข้าใจคลาดเคลื่อน เนื่องจากการจดทะเบียนชาวต่างชาติดังกล่าวไม่ใช่เพื่อเป็นไกด์ แต่เพื่อเป็น “ล่าม” ทำหน้าที่ “ผู้ประสานงาน” เท่านั้น และไม่ใช่ใครจะมาขึ้นทะเบียนก็ได้ แต่ต้องเป็นบุคคลที่บริษัทนำเที่ยวรับรอง ที่สำคัญ ณ วันนี้เปิดแต่เพียง “ภาษาเกาหลี” เท่านั้น ไม่มีภาษาอื่นๆ เช่นจีนหรือรัสเซีย ตามที่ลือกันแต่อย่างใด
“เราดำเนินการอนุมัติ แต่มีกำหนด 1 ปีดำเนินการ ต้องให้คนไทยทำงานได้ด้วยเพื่อฝึกทักษะร่วมกัน ก็คือเป็นผู้ประสานงานเท่านั้นเอง คนทำทัวร์จริงๆ คือมัคคุเทศก์คนไทยเพียงแต่ให้เขามาช่วยสื่อสารภาษาและสอนภาษาเท่านั้นเอง เพื่อเป็นการพัฒนาให้คนของเราได้ทำงานจริงจังในอนาคตอย่างยั่งยืน คนกลุ่มนี้ต้องขึ้นทะเบียน เสียภาษี และมีบริษัทรับรอง ไม่ใช่ว่าใครก็ได้
ที่ผ่านมาเราเป็นแค่ซิตติ้งไกด์ (ซิตติ้งไกด์-ไกด์ที่ไปกับทัวร์เพื่อกันเจ้าหน้าที่มาตรวจ ส่วนการนำเที่ยวเป็นไกด์เถื่อนต่างชาติ) ส่วนเกาหลีเขาก็ไปทำทัวร์เอง เพราะภาษาเกาหลีเขาคนไทยเราพูดกันไม่ได้ เราทดสอบแล้วมีประมาณ 200 คนในจำนวนนี้ทำทัวร์ประจำอยู่ในพระบรมมหาราชวัง (วัดพระแก้ว)แทบจะไม่มีคนพูดภาษาเกาหลีที่ออกมาทำทัวร์อยู่ภายนอก อันนี้ต้องยอมรับว่าขาดแคลน และเราต้องการให้มีการแก้ไขปัญหาจริงๆ”
นายกสมาคมมัคคุเทศก์อาชีพแห่งประเทศไทย กล่าว และมีเกณฑ์วัดผลด้วยว่า สัญญามีอายุ 1 ปี หากครบกำหนดแล้วชาวเกาหลีที่มาเป็นผู้ประสานงาน ไม่สามารถทำให้ไกด์ไทยสื่อสารภาษาเกาหลีได้ ก็จะไม่ได้รับการต่อใบอนุญาต และต้องหาผู้ประสานงานรายอื่นต่อไป
อย่างไรก็ตาม ยังมีความห่วงกังวลจากผู้ประกอบวิชาชีพมัคคุเทศก์ชาวไทย เช่น นายมานพ แซ่เจีย ประธานชมรมมัคคุเทศก์รักษ์ล้านนา ตั้งข้อสังเกตว่า การอนุญาตให้ชาวเกาหลีสามารถจดทะเบียนดังกล่าวได้ จะเป็น “ก้าวแรก” ให้ชาติอื่นๆ เอาอย่างบ้างหรือไม่ โดยเฉพาะ “จีนแผ่นดินใหญ่”ที่เป็นกลุ่มซึ่งก่อปัญหามากที่สุด
“ถึงจะเปิดแต่แค่เกาหลี แต่ว่าถ้าเปิดได้ 1 ชาติ เชื่อได้เลยว่าในอนาคตชาติอื่นก็จะเอาบ้าง โดยเฉพาะจีน ทุกวันนี้นักท่องเที่ยวจีนมากที่สุดและน่าเป็นห่วงที่สุด คือเกาหลีเขามีทุกอย่างในมือแล้ว เพียงแต่ไม่ถูกต้อง เขาเลยวิ่งเต้นกับภาครัฐเพื่อให้เขาทำให้ถูกต้อง ถ้ามีต้นแบบที่หนึ่งก็ต้องมีที่สอง ทุกคนเชื่อว่าอย่างนั้น ผู้ประกอบการทัวร์จีน 60 เปอร์เซ็นต์เป็นคนจีนทั้งหมด ที่กรุงเทพฯถ้าไปวัดพระแก้ว คุณจะเห็นไกด์เถื่อนเดินขวักไขว่ไปมาเต็มไปหมด
ถ้าจีนมาจะเป็นอะไรที่หนักที่สุด ผมอยู่กับนักท่องเที่ยวจีนมาเกือบ 30 ปี จีนนี่น่ากลัวมาก เชียงใหม่ตอนนี้คนจีนมาเที่ยว กลับมาอีกที 3-4 ปีต่อมา มาหาเช่าอพาร์ตเมนท์บ้าง ตึกแถวบ้าง บ้านของคนท้องที่บ้าง ก็ปรับปรุงทำเป็นเกสต์เฮาส์ สร้างเว็บไซต์ที่ประเทศจีน แล้วก็ขายทัวร์ พอคนมาเที่ยวก็ให้พักที่ของเขา แล้วเขาก็ไปลักลอบทำอาชีพมัคคุเทศก์ ครบวงจรแต่ผิดทุกอย่าง แล้วจับยากมาก” ประธานชมรมมัคคุเทศก์รักษ์ล้านนา ฝากทิ้งท้าย
ข้อมูลจาก ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและพยากรณ์ทางการเกษตร มหาวิทยาลัยแม่โจ้ (แม่โจ้โพลล์) สำรวจความคิดเห็นมัคคุเทศก์หรือไกด์ในจังหวัดที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวหลักของประเทศไทย (เชียงใหม่ ภูเก็ต และตรัง) จำนวน 256 ตัวอย่าง ระหว่างวันที่ 25 มี.ค. – 5 เม.ย. 2558 ในหัวข้อ “ไกด์เถื่อน...แย่งอาชีพสร้างความเสียหายต่อภาพลักษณ์การท่องเที่ยว” พบว่า สิ่งที่มัคคุเทศก์ชาวไทยกลุ่มตัวอย่างเป็นห่วงมากที่สุดกับปัญหาไกด์เถื่อน
อันดับ 1 ร้อยละ 75.78 การเผยแพร่เอกลักษณ์ของไทยอย่างผิดเพี้ยน สร้างความเสียหายต่อภาพลักษณ์การท่องเที่ยวอันดับ 2 ร้อยละ 74.22 เกิดการแย่งอาชีพของคนไทยส่งผลทำให้รายได้ของผู้ประกอบอาชีพไกด์ถูกกฎหมายลดลงอันดับ 3 ร้อยละ 73.83 พฤติกรรมการทำงานของไกด์เถื่อน ส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของผู้ประกอบอาชีพไกด์ชาวไทย อันดับ 4 ร้อยละ 72.66 อาจมีปัญหาต้มตุ๋นและไม่รับผิดชอบนักท่องเที่ยว และ อันดับ 5 ร้อยละ 44.53 เกิดการข่มขู่ ทำร้ายร่างกาย ไกด์ตัวจริงและนักท่องเที่ยว
นอกจากนี้ยังเชื่อมโยงไปถึงธุรกิจอื่นๆ ดังที่ปรากฏเป็นข่าว เช่น ร้านอาหาร ร้านขายของที่ระลึก คาราโอเกะร้านนวด ร้านอินเตอร์เนต โรงแรม และเคาน์เตอร์ทัวร์ ซึ่งสร้างความเสียทางเศรษฐกิจให้แก่ประเทศไทยเป็นอย่างมาก ในลักษณะ “ทัวร์ครบวงจร” โดยมีคนไทยทำตัวเป็นนอมินีให้นายทุนต่างชาติเพื่อหลบเลี่ยงกฎหมาย ดังนั้นแล้วจึงมีความกังวลในหมู่มัคคุเทศก์และผู้ประกอบธุรกิจทัวร์ชาวไทย ว่าหากภาครัฐเปิดโอกาสให้จดทะเบียนเป็นผู้ประสานงานดังกล่าว จะกลายเป็นการเปิดช่องให้ “รุกคืบ”เปลี่ยนผิดให้กลายเป็นถูกหรือไม่?
เรื่องนี้ผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่าย...ต้องพิจารณาให้รอบคอบ!!!
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี