จะนะ...
นกเขาชวา...
ถูกพูดถึงคู่กันมาตลอดหลายปีในฐานะที่พื้นที่แห่งนี้ถือเป็นแหล่งเพาะพันธุ์นกเขาชวาที่ดีที่สุดของอาเซียน ถือเป็น “เมืองหลวง” ของนกเขาชวา ซึ่งประเทศเพื่อนบ้านและทั่วโลกให้การยอมรับ จึงไม่แปลกที่ “วิหคเสียงดี” ชนิดนี้จะสร้างวงจรธุรกิจต่อเนื่องให้คนในพื้นที่มูลค่าปีละนับพันล้านบาท
ทว่า ณ วันนี้...สถานะของ “จะนะ” และ “นกเขาชวา” กำลังถูกสั่นคลอน จากการคืบคลานเข้ามาของโครงการพัฒนา เพื่อผลักดันให้แผ่นดินนี้กลายเป็นเมืองอุตสาหกรรมขนาดใหญ่!!!
เริ่มจาก...โครงการก่อสร้างโรงแยกก๊าซธรรมชาติและท่อส่งก๊าซธรรมชาติไทย-มาเลเซีย ซึ่งตั้งอยู่ใน ต.ตลิ่งชัน และโครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนร่วมสงขลา ซึ่งต่อมาเปลี่ยนเป็น “โรงไฟฟ้าจะนะ” ตั้งอยู่ในเขต ต.ป่าชิง และ ต.คลองเปียะ ตามติดมาด้วย “โครงการท่าเรือน้ำลึกสงขลาแห่งที่ 2” ตั้งอยู่ที่บ้านสวนกง ต.นาทับ อ.จะนะ ซึ่งจะเป็นท่าเรือขนาดใหญ่ เพื่อรองรับการขนส่งสินค้า เชื่อมระหว่างชายฝั่งอ่าวไทยกับชายฝั่งทะเลอันดามัน ที่จะผุด “ท่าเรือน้ำลึกปากบารา” จ.สตูล ขึ้นมารองรับ
ทั้ง 2 โครงการถูกชาวบ้านมองว่าเป็น “ฝันร้าย” ของพวกเขา จนเกิดการลุกฮือ “ต่อต้าน” แม้โครงการแรกจะไม่สำเร็จ แต่การคัดค้านโครงการ “ท่าเรือน้ำลึก” ทั้งที่จะนะ และปากบารา ยังดำเนินต่อไปเพราะพวกเขามองว่ามันจะนำมาซึ่ง “ผลกระทบ”...
เสียงขับขานของ “นกเขาชวา” เป็นตัวอย่างหนึ่ง!!!
“อับดุลรอหมาน เส็นแอ” หรือที่คนในวงการนกเขาชวาเรียกขานกันว่า “จูแม สวนนกจะนะ” เล่าให้ฟังว่า ชาวจะนะนิยมเลี้ยงนกเขาชวามาตั้งแต่บรรพบุรุษ โดยปัจจุบัน อ.จะนะ มีฟาร์มนกเขาชวาเกิดขึ้นใหม่ 500-800 แห่ง มีตลาดรองรับกระจายอยู่ทั่วภูมิภาคอาเซียน แต่ที่คึกคักมากคงเป็นตลาดอินโดนีเซีย มาเลเซีย บรูไนและสิงคโปร์ โดยตนคลุกคลีอยู่กับนกเขากว่า 40 ปีแล้ว เพราะหลงใหลในน้ำเสียงอันไพเราะ ซึ่งเสียงเปล่งร้องของมันสร้างมูลค่ามหาศาล ถ้าร้องได้ 5 จังหวะ เหมือนมี “ลูกเอื้อน” บวกกับน้ำเสียงที่กังวานทั้งตอนเริ่มขัน และตอนจบ จะทำให้มูลค่าสูงขึ้นไปอีก อาจเหยียบหลักล้านบาทก็เป็นได้
“ราคานกเขาชวาสายพันธุ์จะนะ มีตั้งแต่ตัวละ100 บาท ไปจนถึง 5 ล้านบาท ซึ่งเป็นระดับแชมป์โดยมีการประเมินของเจ้าของฟาร์มว่าตลาดนกเขาชวาของจะนะ มีเงินสะพัดปีละ 600-700 ล้านบาท ยังไม่รวมถึงธุรกิจต่อเนื่องอีกมากมาย โดยเฉพาะธุรกิจทำกรงนกเขาชวา” จูแม สวนนกจะนะ กล่าว
ด้าน “นิรันดร์ สุวรรณช่วย” ช่างทำกรงนกเขาชวา กล่าวว่า แต่ละปีชาวจะนะส่งออกกรงนกเขาชวาได้กว่า 10,000 ลูก สร้างรายได้ไม่น้อยกว่าคนละ 2-3 แสนบาทต่อปี หากรวมรายได้จากการขายนกเขาชวาและการทำกรงแล้ว คาดว่าชาวจะนะสร้างรายได้ไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้านบาทต่อปี
ขณะที่ “สะมะแอ มะขะเหร็น” รองประธานชมรมนกเขาชวา อ.จะนะ มองว่า ด้วยสายพันธุ์ซึ่งเป็นที่ยอมรับและความเชี่ยวชาญในการเพาะเลี้ยง รวมถึงการมีแหล่งเพาะพันธุ์ที่ใหญ่เป็นอันดับ 1 ในอาเซียน มีสนามแข่งเป็นของตัวเองกว่า 30 ไร่ ถือเป็น “จุดแข็ง” ที่ทำให้จะนะสมควรต่อการถูกยกให้เป็น “เมืองหลวงของนกเขาชวา” แต่การที่จะนะจะเดินไปถึงจุดนั้นได้อย่างสง่าผ่าเผย ในพื้นที่ต้อง“คลีน” ไม่มีผลกระทบด้าน “มลพิษ” เป็นอุปสรรค
รองประธานชมรมนกเขาชวา อ.จะนะ บอกว่า การที่จะเป็น “เมืองหลวงของนกเขาชวา” ได้นั้น จำเป็นต้องตัดมลพิษต่อนกเขาชวาออกไป ตอนนี้ในพื้นที่กำลังมีปัญหามลพิษทางอากาศ สาเหตุน่าจะเกิดจากที่จะนะถูกพัฒนาให้เป็นเมืองอุตสาหกรรมด้านปิโตรเคมี ไม่ว่าจะเป็นโรงแยกก๊าซ โรงไฟฟ้าและท่าเรือน้ำลึก อยู่ห่างชุมชนเพียง 3 กิโลเมตร ทำให้สภาพอากาศเปลี่ยนไป ส่งผลกระทบต่อนกเขาชวาอย่างรุนแรง
“นกเขาชวาเคยออกไข่ทุก 2 เดือน ตอนนี้เปลี่ยนเป็น 4 เดือน ลูกนกที่ออกมาก็เจ็บป่วย ตายง่าย ชาวจะนะจึงอยากวิงวอนให้รัฐบาลทบทวนโครงการต่างๆ ที่จะเพิ่มเข้ามาในชุมชน โดยเฉพาะโครงการท่าเรือน้ำลึกสงขลาแห่งที่ 2 เพื่อลดผลกระทบต่อสุขภาพประชาชน” รองประธานชมรมนกเขาชวา อ.จะนะ กล่าว
ด้าน “กิตติภพ สุทธิสว่าง” ผู้ประสานงานเครือข่ายชาวจะนะรักษ์ถิ่น กล่าวว่า “นกเขาชวา” เป็นอีกต้นทุนทางทรัพยากรและวัฒนธรรมในพื้นที่ จ.สงขลา ซึ่งมีศักยภาพสูงสำหรับยกระดับเป็นยุทธศาสตร์การพัฒนาพื้นที่ สร้างรายได้อย่างมีนัยสำคัญ “จะนะ” เป็นแหล่งเพาะพันธุ์นกเขาชวาที่ดีที่สุดของอาเซียน ตอนนี้จะนะเป็นเมืองหลวงของการเพาะพันธุ์นกเขาของอาเซียนไปแล้ว มันไม่ใช่แค่เศรษฐกิจระดับชุมชน แต่เป็นเศรษฐกิจระดับอาเซียนไปแล้ว แต่มันต้องสลายไปแน่นอน เพราะ...
นกเขากับ “มลพิษ” ไม่ถูกกัน!!!
“กิตติภพ”กล่าวด้วยว่า มีการวิจัยออกมาว่าใน อ.จะนะ มีโรงงานอุตสาหกรรมกว่า 100 แห่ง หรือการเข้ามาของอุตสาหกรรมปิโตรเคมี ก็ส่งผลนกเขาชวาโดยตรง เพราะ “สารพิษ” จากโรงแยกก๊าซอาจระเหยไปในอากาศ ซึ่งกระทบต่อการเพาะเลี้ยงนกเขาชวา หรือ “ท่าเรือน้ำลึก” หากเกิดการรั่วไหลของสารพิษต่างๆ ซึ่งไปสะสมอยู่ตลอด “ชายฝั่ง” หรือทรายตามชายหาด ก็มีปัญหา เพราะนกเขาชวาต้องกิน “ทรายทะเล” เพื่อช่วยในระบบย่อยอาหาร เป็นต้น
“นกดีดี ตัวหนึ่งราคาเป็นแสนเป็นล้าน ถ้าที่นี่มีมลพิษ มันจะกระทบต่อการเพาะเลี้ยงนกเขา ดูภาพรวมแล้วจะนะจะกลายเป็นมาบตาพุด 2 มีทุกอย่าง มีโรงไฟฟ้าและต่อไปจะเป็นนิคมอุตสาหกรรม ถ้าเป็นอย่างนั้นก็จบเลย ทั้งทะเลที่ชาวบ้านฟื้นฟูกันมา ทั้งนกเขาที่มีรายได้หลายร้อยล้านต่อปี สิ่งที่กลัวคือมันจะทำให้เป็นมาบตาพุดมากกว่านี้ หลังมีโรงไฟฟ้า ท่าเรือ อุตสาหกรรมปิโตรเคมี” กิตติภพ กล่าว
พร้อมกับทิ้งท้ายว่า เวลานี้ “ชาวจะนะ” กำลังหวาดหวั่นว่า “วิถีชีวิต” ที่เคยเรียบง่ายจะเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ และเสียงขับขานของ “นกเขาชวา” จะเป็นอย่างไร จากการที่โครงการพัฒนา และโรงงานอุตสาหกรรมต่างๆกำลังจ้อง “ทะลัก” เข้ามา “ปักหมุด” ในพื้นที่...
ถ้าสกัดกั้นไม่อยู่...“นกเขาชวา” ชื่อก้องระดับอาเซียนและระดับโลก ซึ่งเปรียบเสมือนชีวิตของ “ชาวจะนะ” อาจจะ “ขัน” ไม่ไหว หรือไม่เสนาะหูดังเดิม!?!?!
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี