.

หลังจากผิดหวังเป็นพระรองมาสองสมัยติด ๆ ถึงคิว “อินทรีเหล็ก” เยอรมันตะวันตก ผงาดครองโลกเป็นสมัยที่ 3

พวกเขาทำสถิติเท่ากับ อิตาลี และ บราซิล ด้วยการเปิดเส้นทางสุดหรูตั้งแต่เกมแรก ทีมนี้มี โลธาร์ มัทเธอุส, เจอร์เก้น คลินส์มันน์, รูดี้ โฟลเลอร์, อันเดรส เบรห์เม่, เยอร์เก้น โคห์เลอร์ และ”ไอ้บ้านนอก” เคลาส์ เอาเกนส์ธาลเลอร์ เป็นตัวหลัก ประเดิมด้วยการยำ ยูโกสลาเวีย 4-1

จากนั้นพวกเขาอัด สหรัฐอาหรับ เอมิเรตส์ 5-1 และปิดท้ายด้วยการเสมอกับ โคลอมเบีย 1-1 ส่งผลให้เข้ารอบด้วยการเป็นอันดับหนึ่งของกลุ่มไปพบกับ เนเธอร์แลนด์ ที่เขี่ยพวกเขาตกรอบยูโร เมื่อ 2 ปีก่อนคาถิ่น

เกมที่ซาน ซีโร่ ดำเนินไปด้วยความเข้มข้นทั้งสองทีมต้องเหลือผู้เล่น 10 คน ตั้งแต่นาทีที่ 22 แฟร้งค์ไรจ์การ์ด ไปถุยน้ำลายใส่ รูดี้โฟลเลอร์ จนมีปัญหากันผู้ตัดสินควักใบแดงไล่ออกจากสนามทั้งคู่ ซึ่งสุดท้ายเกมจบลงด้วยชัยชนะของ เยอรมันตะวันตก สกอร์ 2-1

ทัพอินทรีเหล็กเดินทางเข้ามาถึงรอบ 8 ทีมสุดท้ายต้องพบกับ เช็กโกสโลวาเกีย และเป็น โลธาร์มัสเธอุส ที่ซัดจุดโทษเป็นประตูชัยให้ทีมหลุดเข้าไปในรอบตัดเชือก

ในรอบรองชนะเลิศ เยอรมันตะวันตก ต้องเจอกับงานหนักอย่าง อังกฤษ ซึ่งพวกเขาออกนำไปก่อนจากฟรีคิกมีแฉลบของ เบรเม่ห์ นาทีที่ 60 ก่อนที่ “มิสเตอร์ไนซ์กาย” แกรี่ ลินิเกอร์ จะมาทำประตูให้ สิงโตคำราม ไล่ตามตีเสมอ 1-1

ทำให้ต้องต่อเวลาพิเศษแต่ไม่สามารถทำอะไรกันได้ จนลงเอยด้วยการยิงจุดโทษ และเป็น เยอรมันตะวันตก ที่ขึ้นชื่อลือชาในเรื่องของจิตใจที่แข็งแกร่งยิงได้แม่นกว่าเอาชนะไป 4-3 ผ่านเข้าไปชิงชนะเลิศกับ อาร์เจนติน่า ที่ดวลจุดโทษเอาชนะเจ้าภาพอิตาลีมาได้เช่นกัน

การแข่งขันรอบชิงชนะเลิศฟาดแข้งกันที่ สตาดิโอ โอลิมปิโก้ กรุงโรม อาร์เจนติน่า ที่สภาพสะบักสะบอม เหลือผู้เล่น 10 คนตั้งแต่นาทีที่ 65 เปโดร มอนซอน ไปโดนใบแดงไล่ออกจากสนามเป็นคนแรกในประวัติศาสตร์นัดชิงบอลโลก ก่อนที่ เยอรมันตะวันตก จะมาได้จุดโทษในนาทีที่ 85 เบรห์เม่ ซัดเข้าไปไม่เหลือ

ท้ายเกม กุสตาโว่ เดซ็อตต มาถูกไล่ออกปิดท้ายให้ “ฟ้าขาว” เหลือ 9 คน และแพ้ไปอย่างบอบช้ำ ทำให้ “อินทรีเหล็ก” ครองแชมป์โลกเป็นสมัยที่ 3 และล้างแค้น 4 ปีก่อนได้สำเร็จ

ยิ่งไปกว่านั้น ฟรานซ์ เบ๊คเค่นบาวเออร์ กลายเป็นคนแรกที่ได้แชมป์โลกในฐานะกัปตันทีม และกุนซืออีกด้วย