.
โลกใบนี้ยกย่อง 3 กัปตันทีมชาติออสเตรเลีย , ทีมชาติเดนมาร์ก และทีมชาติฝรั่งเศส ที่ร่วมกันทำจดหมายร้องไปยังสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ หรือฟีฟ่า ให้ยกเลิกคำสั่งห้ามไม่ให้ เปาโล เกร์เรโร่ กัปตันทีมชาติเปรู มาแข่งขันฟุตบอลโลก หลังจากถูกแบนกรณีเรื่องสารเสพติด ที่เจ้าตัวนั้นไม่ได้ก่อขึ้น
ก่อนที่บทจบจะลงเอยด้วย เกร์เรโร่ ได้มาเล่นฟุตบอลโลก สมใจปรารถนา
ปฐมบทอันยอดเยี่ยมคราวนี้ ส่งผลให้คำว่า “The beautiful games” ยิ่งเหมาะกับโลกฟุตบอลมากขึ้นไปอีก
ส่วนในสนามจะเกิดอะไรขึ้น......ก็น่าสนใจไม่แพ้กัน!
"ฝรั่งเศส"กองทัพที่เต็มไปด้วยอนาคต
การเดินทางของกองทัพลูกหนังเลส เบลอส์ โลดโผนโจนทะยาน จนกระทั่งครองแชมป์โลกสมัยแรก เมื่อปี 1998 ที่พวกเขาเป็นเจ้าภาพ
นับจากนั้นเป็นต้นมา เจ้าภาพไม่เคยได้แชมป์อีกเลยเป็นเวลานานถึง 20 ปีเข้าให้แล้ว
จากยุคของ ชุสต์ ฟองแตงส์ เรื่อยมาจนถึง “นโปเลียนลูกหนัง” มิเชล พลาตินี่ กับแดนกลางที่เล่นได้ทรงประสิทธิภาพและงดงามสุดโลก จนกระทั่งประสบความสำเร็จในยุคของ ซีเนดีน ซีดาน เป็นแม่ทัพเมื่อปี 1998 และเกือบทำได้อีกทีเมื่อปี 2006 หากไม่ดวงแตกพ่ายจุดโทษให้กับ อิตาลี
ฝรั่งเศส
มาในปีนี้ พวกเขาขึ้นมาเป็น “เต็ง 3” หลังจากมีตัวเลือกให้พิจารณาอย่างมากมาย ชนิดที่ตัวที่ถูกตัดออกไปสามารถมาจัดเล่นได้อีก 1 ทีม พร้อมกับตัวสำรองอย่างสบายๆ
ด้วยการเลือกตัวผู้เล่นหนนี้ ถือเป็นการเดิมพันอนาคตของ ดีดิเยร์ เดส์ชองป์ ที่ถูกวิจารณ์และถูกต้านจากตัวนักบอล เหมือนราวกับว่า พ่อแม่รักลูกไม่เท่ากัน แต่นั่นถือเป็นเรื่องธรรมดาของทีมนี้ มีทุกปีกับเรื่องลักษณะแนวนี้
การมีนักเตะให้เลือกใช้สอยมากมาย เหมือนกับการมีวัตถุดิบชั้นดีที่จะต้องปรุงให้แล้วเสร็จ โดยเฉพาะในแผงมิดฟิลด์ที่มีปัญหาไม่เว้นแต่ละวัน ไม่ใช่ว่าสลับกันเล่นดี
แต่ทุกวันนี้กลายเป็นสลับกันฟอร์มตก
โดยเฉพาะการตามวิพากษ์วิจารณ์ฟอร์มการเล่นของ ปอล ป็อกบา อดีตนักเตะค่าตัวแพงที่สุดในโลก 89 ล้านปอนด์ ที่เหมือนกับว่า “ไม่ตั้งใจเล่นฟุตบอล” ซึ่งเป็นเสมือนกับอาชีพหลักของตัวเอง
สิ่งที่น่าสนใจก็คือ เดส์ชองป์ ต้องหล่อหลอมนักเตะให้เข้าด้วยกันอย่างรวดเร็ว ให้เข้าใจในระบบที่เขาต้องการ และจะต้องปรามพวกที่นั่งสำรองไม่ให้ซ่าเหมือนกับ อาเดรียง ราบิโอต์ ที่เคยป่วนทีมมาก่อนหน้านี้ เนื่องจากไม่ต้องการเป็นตัวสแตนด์บาย
ทีมนี้แนวรุกเหลือกำลังลากไถจนน่าอิจฉามากๆ อองตวน กรีซมันน์ เล่นร่วมกับ คีลียัน เอ็มบัปเป้ ดาวเตะตัวยืมที่แพงที่สุดในโลก และอีกฝั่งดูเหมือน เดส์ชองป์ อยากจะให้โอกาส อุสมัน เดมเบเล่ ดาวรุ่งจากบาร์เซโลน่า ก่อนคนอื่น
นี่ยังมีอ็อปชั่นอย่าง โตมาส์ เลอมาร์, ฟลอร็อง โตแว็ง และโอลิวิเยร์ ชิรูด์ อีกต่างหาก
หากว่าจะพลาด มองว่าน่าจะเกิดจาก”การวางแผน”มากกว่าอุบัติเหตุอื่น ๆ เพราะทีมชุดนี้นอกจากจะเป็นทีมที่น่าสนใจในปัจจุบัน
ยังมีนักเตะแห่งอนาคตอยู่ล้นทีมโดยแท้
“ไก่ทองคำ” ฝรั่งเศส มีกองทัพนักเตะให้เลือกอย่างมากมาย อยู่ที่การจัดทัพของ เดส์ชองป์ ว่าจะไปไกลแค่ไหน
"ออสเตรเลีย"จิงโจ้ตัวนี้แกร่งจริงหรือ
กองทัพลูกหนังซอคเกอร์ รูส์ ที่หลายคนในทวีปเอเชียแอบชัง เนื่องจากการเข้ามาร่วมกับ เอเอฟซี เหมือนกับเป็นการ “ชิงโควต้า”ไ ปซะฉิบ
ซึ่งอาจจะเป็นเรื่องจริงก็ได้ เพราะตั้งแต่ปี 2006 เป็นต้นมา พวกเขาตีตั๋วเข้าฟุตบอลโลก สมัยนี้คือ 4 หนซ้อนๆ หลังจากที่อกหักเพลย์ออฟถึง 3 ครั้งติดต่อกันในยุค 90
ครั้งนี้ ออสเตรเลีย ตีตั๋วด้วยการเล่นเพลย์ออฟ ด้วยการปราบ ฮอนดูรัส 3-1 อย่างไรก็ตามแม้มาตรฐานของพวกเขายังดูเหมือนต่อเนื่อง แต่ผู้เล่นของทีมนั้น ไม่ได้เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องเหมือนเมื่อก่อน ที่มีดาวเตะดังๆ มากมาย
แฮร์รี่ คีลล์, มาร์ค วิดูก้า, มาร์ค เบรสชาโน่, มาร์ค ชวาร์เซอร์ คือตัวหลักสำคัญ แต่หนึ่งในนักเตะยุคเรืองรองของทีมยังอุตส่าห์ติดทัพในชุดนี้มาหนึ่งคน
นั่นคือ ทิม เคฮิลล์ บนวัย 38 ปี!!!
ออสเตรเลีย
น่าสนใจก็คือ เคฮิลล์ ตอนนี้ไม่มีสังกัด แต่จำเป็นที่ เบิร์ต ฟาน มาร์กไวจ์ กุนซือชาวดัทช์ ที่นำทัพ ซาอุดีอาระเบีย ไปบอลโลก แต่ลงท้ายแยกทางกันและมาได้งานที่ ออสเตรเลีย เมื่อต้นปีที่ผ่านมา ต้องเรียกเข้ามาเสริมทีม เนื่องจากที่มีอยู่นั่น น้อยคนนักที่จะวางใจได้
ตัวผู้เล่นสำคัญชุดนี้มี แมทธิว ไรอัน จอมหนึบที่เซฟจนทำให้ “นกนางนวล” ไบรท์ตัน อยู่รอดปลอดภัยในพรีเมียร์ลีก, แอร่อน มอยส์ กองกลางของฮัดเดอร์สฟิลด์ ทาวน์ ที่รอดตายเหมือนกันในปีนี้, ทอม โรกิซ ตัวสำคัญของกลาสโกว เซลติค แชมป์ทุกสถาบันของสก็อตแลนด์ และ ไมล์ เยดิแนค กัปตันทีมจากแอสตัน วิลล่า
ไม่ได้ครบเครื่อง ไม่ได้มีเทคนิคเหมือนเดิม แต่ “จิงโจ้” ตัวนี้อาศัยลูกหนังและลูกแกร่งเข้ามาช่วยทีมแทน
ต้องดูว่าเมื่อมาถึงรอบนี้
"แกร่ง"อย่างเดียว....จะพอหรือไม่?!?!?
ทิม เคฮิลล์ บนวัย 38 ปี แต่ยังเป็นกำลังสำคัญของออสเตรเลีย
"เปรู"กับการต่อสู้ทั้งในและนอกสนาม
เจ้าของลายเสื้อที่เป็นเอกลัษณ์ของตัวเอง ที่โลกใบนี้ไม่เคยเห็นพวกเขาปรากฏโฉมใน “ฟุตบอลโลก รอบสุดท้าย” ยาวนานนับตั้งแต่ปี 1982 หรือตั้งแต่ 36 ปีที่แล้ว
ปีนี้การรอคอยของพวกเขายุติลงแล้ว!
พวกเขาเอาชนะ นิวซีแลนด์ ไปได้ด้วยสกอร์รวม 2-0 ในศึกอินเตอร์-คอนเฟเดเรชั่น เพลย์ออฟส์ แต่ก็ต้องมีปัญหาเพราะ เปาโล เกร์เรโร่ กองหน้ากัปตันทีม วัย 34 ปี จากฟลาเมงโก้ โดนแบนเพราะถูกตรวจสอบว่ามีสารเสพติด
กระทั่งใช้เวลานานกว่าครึ่งปี การร่วมมือกันช่วยเหลือจากทุกทาง สุดท้ายแล้ว เกร์เรโร่ ได้มาแข่งขัน แน่นอนว่าทีมย่อมมีพลังมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมี”กัปตัน”มาอยู่ในทีม
เรื่องนอกสนามพวกเขาสบายใจแล้ว!!!
เปรู
ในอดีตที่ผ่านมา เปรู มีเรื่องราวบันทึกในตำนาน”แง่ลบ” หลังจากที่พลาดท่าแพ้ให้กับ อาร์เจนติน่า ยับเยิน 0-6 เหมือนกับการล็อคสกอร์ช่วยให้ “ฟ้าขาว” ที่เป็นเจ้าภาพในคราวนั้นเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศ ในระบบรอบ 2 แบ่งกลุ่ม
แน่นอนว่า พวกเขาอยากจะบันทึกอะไรใหม่ๆ กันบ้าง
ริคาร์โด้ กาเรา อดีตหัวหอกอาร์เจนติน่า และโบคา จูเนียร์ส ที่ปรุงทีมมา 3 ปี มีแนวรุกให้เลือก 4 คน หากจะเอาเก๋า เกร์เรโร่ พร้อมจะให้คำตอบพร้อมกับ เจฟเฟอร์สัน ฟาร์ฟาน ที่ตอนนี้อายุ 33 ปี หากจะเอาลูกสดก็คือ ราอูล รุยดิอาซ ที่เกือบมาค้าแข้งในไทยลีก วัย 27 และอีกรายคือ อันเดร คาร์ริลโญ่ ที่ค้าแข้งอยู่กับวัตฟอร์ด
หากว่า เรนาโต้ ตาเปีย เล่นได้เกินวัย 22 ปีของเขาอีกสักคนในแผงกองหลาง
ถือว่า เปรู จะน่าสนใจอย่างมากเลยทีเดียว!
เปาโล เกร์เรโร่ คัมแบ๊คกลับมานำทัพ เปรู สู้บอลโลกหนแรกในรอบ 36 ปี
เดนมาร์ก “แดนิช ไดนาไมต์”
“We are Red…We are White…We are Danish Dynamite”
เสียงนี้กระหึ่มในวงการฟุตบอลเป็นครั้งแรก เมื่อปี 1986 ของทีมชาติ “โคนม” เดนมาร์ก ชื่อที่ติดหูคนไทยมานานในเรื่องของ”นม”
“แดนิช ไดนาไมต์” เป็นที่รู้จักไปทั่วโลกในบอลโลกครั้งนั้น หลังจากขยี้ อุรุกวัย ยับเยิน 6-1 และทุบ เยอรมันตะวันตก แต่ลงท้ายไปไกลแค่รอบ 2 เมื่อโดนฤทธิ์ สเปน ขวิดไส้แตกถึง 1-5
อย่างไรก็ตามชื่อของนักเตะอย่าง พรีเบน เอลเกียร์ ลาร์เซ่น, โซเร็น เลอบี้, แยน โมลบี้, เยสเปอร์ โอลเซ่น, มอร์เท่น โอลเซ่น และไมเคิล เลาดรุ๊ป
กลายเป็นที่จดจำไปตลอดกาล
เดนมาร์ก
จากนั้น เดนมาร์ก ยิ่งเป็นที่จดจำในคอบอลด้วยการเป็นแชมป์ฟุตบอลยูโร 1992 ทั้งที่ไปในฐานะ “มวยแทน” เนื่องจากวิกฤติสงครามสายเลือดของยูโกสลาเวีย ทำให้พวกเขาในฐานะ “รองแชมป์กลุ่ม” รวมตัวกันอาทิตย์เดียวแล้วไปสู้
ไบรอัน เลาดรุ๊ป น้องชายของไมเคิล นำทัพไปหลังจากพี่ชายของเขาเลือกที่จะพักร้อน มาบวกกับ ปีเตอร์ ชไมเคิล, คิม วิลฟอร์ด, ยอห์น เยนเซ่น ทำให้ทุกคนจดจำ “เทพนิยายเดนส์” ไปตลอดกาลอีกเช่นกัน
แต่สำหรับบอลโลกแล้ว เดนมาร์ก เข้าๆ ออกๆ ไม่ได้เป็นขาประจำ หลังจากทำผลงานเข้ารอบ 8 ทีม ปี 1998 และสู้กับ บราซิล ได้สมศักดิ์ศรี นั่นคือจุดสูงสุด เพราะ 4 ปีก่อนพวกเขาก็แค่คนดูเท่านั้น
ชุดนี้หล่อหลอมกันมาโดยมี คริสเตียน เอริคเซ่น เป็นหัวใจในการเดินทาง เพียงแต่รอบตัวของเขาหลายๆ คนอาจทำให้เส้นทางการเดินนั้นไม่สะดวกเท่าไหร่นัก โดยเฉพาะกองหน้าตัวเป้าที่เหลือเชื่อจริงๆ ว่า กลายเป็นปัญหาของทีม
ยุสซุฟ โพลเซ่น มีซีซั่นที่โยโย่กับ ไลป์ซิก อีกคนคือ แคสเปอร์ โดลเบิร์ก ก็ไม่ได้เปรี้ยงเหมือนปีก่อนกับ อาแจ๊กซ์
ต้องดูว่าทั้งคู่จะเข้าฟอร์มได้หรือไม่ในบอลโลก
ข้อมูลที่น่าสนใจ
ฝรั่งเศส
ผ่านเข้ารอบสุดท้าย : 15 สมัย
ผลงานดีที่สุด : แชมป์โลก ปี 1998
สตาร์เด่น : อองตวน กรีซมันน์
ออสเตรเลีย
ผ่านเข้ารอบสุดท้าย : 5 สมัย
ผลงานดีที่สุด : รอบ 16 ทีม ปี 2006
สตาร์เด่น : ทิม เคฮิลล์
เปรู
ผ่านเข้ารอบสุดท้าย : 5 สมัย
ผลงานดีที่สุด : รอบ 8 ทีมสุดท้าย ปี 1970
สตาร์เด่น : เปาโล เกร์เรโร่
เดนมาร์ก
ผ่านเข้ารอบสุดท้าย : 5 สมัย
ผลงานดีที่สุด : รอบ 8 ทีม ปี 1998
สตาร์เด่น : คริสเตียน เอริคเซ่น
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี