เป็นอีกปีที่กำลังจะผ่านพ้นไป ถึงแม้ว่านี่จะเป็นอีกปีที่คนไทยและทั่วโลก ต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์โควิด-19 อย่างไรก็ตามเมื่อมีวัคซีนฉีดป้องกันแล้ว การแข่งขันก็ยังคงดำเนินต่อไป และวันนี้ทีมงานข่าวกีฬาแนวหน้า จะขอรวบรวมที่สุดแห่งวงการกีฬาไทยในปี 2021 ให้ได้ดูกันว่ามีอะไรบ้าง
‘น้องเทนนิส’ผงาดทองโอลิมปิกประวัติศาสตร์
จากความผิดหวังในการแข่งขัน โอลิมปิก ริโอเกมส์ ที่ประเทษ บราซิล เมื่อ 5 ปีที่แล้ว มาในปีนี้ “น้องเทนนิส” พาณิภัค วงศ์พัฒนกิจ นักเทควันโดทีมชาติไทย เจ้าของมือวางอันดับ 1 ของโลก ในรุ่น 49 กก.หญิง ก็สร้างผลงานประวัติศาสตร์ได้สำเร็จ ด้วยการพลิกกลับมาชนะ อาเดรียนาอิเกรเซียส เซเรโซ จอมเตะจากสเปน ไปด้วยสกอร์ 11-10 ผงาดคว้าเหรียญทองประวัติศาสตร์ของวงการเทควันโดไทยและเป็นเหรียญทองเดียวในโอลิมปิกเกมส์ 2020 มาครองได้สำเร็จ
การคว้าเหรียญทองของ “น้องเทนนิส” ส่งผลให้เธอเป็นนักกีฬาไทยคนแรกที่คว้าเหรียญทองโอลิมปิกจากกีฬาเทควันโด, เป็นเหรียญทองที่ 10 ของทัพนักกีฬาไทยในประวัติศาสตร์โอลิมปิก และเป็นนักกีฬาไทยคนที่ 4 ที่ได้เหรียญโอลิมปิกเกมส์ 2 สมัย ต่อจาก มนัส บุญจำนงค์,วันดี คำเอี่ยม และ พิมศิริ ศิริแก้ว และความสำเร็จ และแน่นอนว่าในโอลิมปิกเกมส์ 2024 ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ในอีก 2 ปีข้างหน้า ชื่อของ พาณิภัค จะยังเป็นความหวังเหรียญทองอันดับ 1 ของคนไทยทั้งชาติเหมือนเดิม
‘บาส-ปอป้อ’ กวาด 8 แชมป์พร้อมทะยานมือ 1 โลก
หากจะพูดถึงอีกหนึ่งนักกีฬาที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในปีนี้ ชื่อของ “บาส” เดชาพล พัววรานุเคราะห์ และ “ปอป้อ” ทรัพย์สิรี แต้รัตนชัย 2 นักแบดมินตันประเภทคู่ผสมต้องอยู่ในนั้นแน่นอน หลังจากเล่นมาด้วยกันยาวนานถึง 6 ปีเต็ม ตั้งแต่ปี 2015 มาในปีนี้ด้วยผลงานที่พัฒนาแบบก้าวกระโดดทำให้ทั้งคู่กวาดแชมป์ได้ถึง 8 รายการ จากการลงแข่งขัน 11 รายการ ประกอบด้วย
1.แชมป์ “โยเน็กซ์ ไทยแลนด์ โอเพ่น 2020”, 2.แชมป์ “โตโยต้า ไทยแลนด์ โอเพ่น 2020”, 3.แชมป์ “เอชเอสบีซี บีดับเบิลยูเอฟ เวิลด์ทัวร์ ไฟนอลส์ 2020” 4.แชมป์ “ไฮโล เยอรมนี โอเพ่น 2021”, 5.แชมป์“ซิมอินเวสต์ อินโดนีเซีย โอเพ่น 2021”, 6.แชมป์ “เอชเอสบีซี บีดับเบิลยูเอฟ เวิลด์ทัวร์ ไฟนอลส์ 2021”, 7.แชมป์ “ไดฮัทสุ อินโดนีเซีย มาสเตอร์ส 2021” รับเงินรางวัล 44,400 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 1,480,000 บาท,8.แชมป์แบดมินตันชิงแชมป์โลก 2021 “โททัลเอนเนอร์จี้ บีดับเบิลยูเอฟ เวิลด์ แชมเปี้ยนชิพ 2021”
ซึ่งแชมป์ทั้ง 8 รายการที่ “บาส-ปอป้อ” ทำได้ก็ทำให้ทั้งคู่ได้รับเงินรางวัลรวมกันทั้งสิ้นถึง 20,624,000 บาท เลยทีเดียว นอกจากนี้ในการแข่งขันชิงแชมป์โลกรายการสุดท้าย ทั้งคู่ยังสร้างประวัติศาสตร์คว้าแชมป์โลกคู่ผสมคู่แรกของประเทศไทย และยังเป็นแชมป์โลกครั้งที่ 2 ของประเทศไทยในกีฬาแบดมินตันต่อจาก รัชนก อินทนนท์หญิงเดี่ยวในปี 2013 ด้วย
‘โปรเหมียว-โปรจีน’แจ้งเกิดวงการกอล์ฟโลกเต็มตัว
เป็นอีกครั้งที่วงการกีฬากอล์ฟบ้านเรากลับมาคึกคักเป็นพิเศษ โดยในปีนี้ต้องบอกว่ามี โปรสาวไทย ถึงสองรายที่ทำผลงานสุดยอดใน LPGA ทัวร์ พร้อมสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไม่น้อย คนแรกก็คือ “โปรเหมียว” ปภังกร ธวัชธนกิจนักกอล์ฟหญิงมือวางอันดับ 13 ของโลก ในวัย 22 ปี ที่ได้รับรางวัลรุกกี้แห่งปีของแอลพีจีเอ ทัวร์ ในฐานะนักกอล์ฟหญิงผลงานดีที่สุดในการลงแข่งปีแรกด้วยการคว้าแชมป์เมเจอร์ รายการ เอเอ็นเอ อินสไปเรชั่น ได้สำเร็จ นอกจากนั้นเธอยังจบ 10 อันดับแรกได้ถึง 10 รายการ จากทั้งหมด19 รายการ และขณะเดียวกัน โปรเหมียวยังสามารถคว้ารางวัล แอนนิก้า เมเจอร์ อวอร์ด ซึ่งมอบให้นักกอล์ฟที่ทำผลงานในรายการเมเจอร์ทั้ง 5 ของปีนี้ได้ดีที่สุดอีกด้วย
ขณะที่อีกคนที่ไม่พูดถึงไม่ได้กับโปรสาวน้อยมหัศจรรย์วัย 18 ปี อย่าง “โปรจีน” อาฒยา ฐิติกุล ที่เพิ่งจะเทิร์นโปรพร้อมข้ามไปลงแข่งในทัวร์นาเมนต์ต่างประเทศอย่างจริงจังเป็นปีแรก แต่กลับทำผลงานได้อย่างสุดยอด ทั้งการคว้าแชมป์เรซ ทู คอสต้า เดล โซล หรือ มือ 1 ของเลดี้ส์ ยูโรเปี้ยน ทัวร์ จากการคว้าแชมป์ 2 รายการ และจบ 10 อันดับแรก ได้ถึง 14 รายการ ด้วยผลงานที่ยอดเยี่ยมต่อเนื่องทำให้โปรจีนขยับขึ้นมาเป็นมือวางอันดับ 18 ของโลกทันที ซึ่งในฤดูกาล 2022 โปรจีนจะได้ก้าวขึ้นไปฟาดฟันในเวทีสูงสุดของนักกอล์ฟหญิงทั่วโลก เมื่อคว้าทัวร์การ์ดลุย LPGA ทัวร์ ได้สำเร็จ
ปิดฉาก20ปี 7 เซียนอำลาวอลเลย์บอลไทย
หลังจากรับใช้ทีมชาติไทยมาอย่างยาวนาน ก็ถึงเวลาที่ 7 เซียนวอลเลย์บอลหญิงทีมชาติไทย นำโดย วรรณา บัวแก้ว, ปลื้มจิตร์ ถินขาว, วิลาวัณย์ อภิญญาพงศ์, นุศรา ต้อมคำ, อรอุมา สิทธิรักษ์, อำพร หญ้าผา และ มลิกากันทอง จะประกาศอำลาสังเวียนในปีนี้
โดยผลงานที่สร้างความตราตรึงใจให้กับแฟนกีฬาชาวไทยมาโดยตลอดนั้นเรียกว่ามีมากมายจนแทบนับไม่ได้ แต่ที่หลักๆ ก็มีทั้งการคว้าแชมป์เอเชีย 2 สมัย ปี 2009 และ 2013, เหรียญเงินประวัติศาสตร์เอเชี่ยนเกมส์ ปี 2018 และแชมป์ซีเกมส์ อีก 14 สมัย ซึ่งต้องขอขอบคุณอย่างยิ่งกับสิ่งที่พวกเธอทุกคนทำเอาไว้ และขออวยพรให้ทั้ง 7 สาวประสบความสำเร็จในทุกสิ่งนับจากนี้ต่อไป
‘วาดา’แบนไทยห้ามใช้ธงชาติในการแข่งขัน
กลายเป็นเรื่องช็อกของวงการกีฬาบ้านเรา เมื่อองค์กรค์ต่อต้านการใช้สารต้องห้ามโลก หรือ วาดา (WADA) ประกาศลงโทษประเทศไทย หลังทำผิดกฎเรื่องสารต้องห้าม โดยระบุว่าไม่ได้ปฏิบัติตามธรรมนูญสารกระตุ้นของวาดา ด้วยการตัดสิทธิเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาระดับชิงแชมป์ระดับภูมิภาค, ระดับทวีป หรือระดับโลก เป็น เวลา 1 ปี หรือมากกว่านั้น
ที่สำคัญคือแม้จะอนุญาตให้นักกีฬาลงแข่งขันรายการต่างๆ ได้ก็จริง แต่จะไม่มีการใช้ ธงชาติไทย ในการแข่งขันรายการที่ ไอโอซี และ วาดา เป็นผู้ดูแลจัดการแข่งขัน ซึ่งในการแข่งขันหลายรายการที่นักกีฬาไทยขึ้นไปบนสังเวียน แฟนกีฬาชาวไทยคงรู้สึกเจ็บปวดไม่น้อย โดยเฉพาะเวลาที่ได้แชมป์ แล้วขึ้นโพเดี้ยมรับเหรียญ แต่กลับไม่มีธงชาติไทย ไม่มีเสียงเพลงชาติไทย
ถึงเวลานี้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องก็เดินหน้าเพื่อทำการแก้ไข โดยล่าสุดได้มีมติเห็นชอบร่าง พระราชกำหนด ควบคุมการใช้สารต้องห้ามทางการกีฬา (พ.ร.ก.) เรียบร้อยแล้ว ซึ่งคาดว่าเรื่องดังกล่าวจะเสร็จสิ้นในเดือน ม.ค. และหวังว่าจะทันก่อนการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ในเดือนพ.ค. 2565 รวมทั้ง เอเชี่ยนมาร์เชียลอาร์ตเกมส์ ที่จะมีขึ้นในเดือน มี.ค.-เม.ย. ปีหน้า ก็หวังว่าทุกอย่างจะคลี่คลายได้โดยเร็ว และขอให้เหตุการณ์นี้เป็นบทเรียนสำคัญของทุกคนที่เกี่ยวข้องว่ามันจะไม่เกิดขึ้นอีก
ฟุตบอลไทย(จ่อ)ทวงบัลลังก์เจ้าอาเซียน
แม้ว่าถึงเวลานี้ ฟุตบอลทีมชาติไทย นั้นจะยังไม่ได้ลงทำการแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์อาเซียน เอเอฟเอฟ ซูซูกิคัพ นัดชิงชนะเลิศ นัดที่ 2 ที่จะพบกับทีมชาติ อินโดนีเซีย ในวันที่ 1 ม.ค. นี้ อย่างไรก็ตาม ต้องบอกว่าจากความซบเซาของทัพ “ช้างศึก” ตลอดขวบปีที่ผ่านมาเมื่อต้องร่วงตกรอบฟุตบอลโลก 2022 รอบคัดเลือก ทำให้ อากิระ นิชิโนะ กุนซือชาวญี่ปุ่น นั้นต้องอำลาตำแหน่ง ทำให้ต้องตั้ง มาโน่ โพลกิ้ง ลูกครึ่งบราซิล-เยอรมันเข้ามาคุมทีมขัดตาทัพในรายการนี้แทน
แต่จากผลงานตั้งแต่รอบแบ่งกลุ่ม ที่ทีมชาติไทย สามารถเก็บชัยชนะได้ทุกนัด จนคว้าแชมป์กลุ่ม เอ ผ่านเข้ารอบตัดเชือก มาเจอคู่อริเบอร์ 1 แห่งยุคอย่าง ทัพ “ดาวทอง”ทีมชาติเวียดนาม ที่มีอันดับโลกสูงสุดในชาติอาเซียนด้วยกัน ทัพ “ช้างศึก” ที่มี มาโน่ คุมทัพ ผนวกกับขุมกำลังหลักที่มาช่วยทีมชุดนี้อย่างคับคั่ง นำโดย ชนาธิป สรงกระสินธ์ และ ธีราทร บุญมาทัน ก็แสดงให้เห็นแล้วว่าเรานั้นดีกว่า ก่อนที่สกอร์รวม 2 นัดไทยจะเป็นฝ่ายเอาชนะไปได้ 2-0
ซึ่งในวันปีใหม่ 1 ม.ค. นี้ ผู้เขียนมั่นใจว่าทัพ “ช้างศึก” ชุดนี้จะนำแชมป์ ซูซูกิคัพ สมัยที่ 6 กลับมาเป็นของขวัญให้กับคนไทยทั้งประเทศได้อย่างแน่นอน
กาลอป
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี