“หงส์แดง” ลิเวอร์พูล กำลังเดิน “แผนที่ 2” ในยุคเฟนเวย์ เพื่อเพิ่มความจุของสนามแอนฟิลด์ ด้วยการเปิดโครงเหล็กขนาดใหญ่ ผงาดง้ำค้ำให้โลกได้เห็น
เป็นการย้ำว่าพวกเขากำลังแสดงให้เห็นถึง “ศักยภาพ” แห่งการลงทุน และเป็นการเพิ่ม “มูลค่า” ที่น่าสนใจอีกครั้งในธุรกิจฟุตบอล
......การปรับโฉมครั้งแรกสัมฤทธิผลไปแล้ว เมื่อเดือนกันยายน 2016 จากโปรเจกท์ “นิว แอนฟิลด์” มาเป็น “นิว เมนสแตนด์” แต่แฟนบอลเข้าใจได้ถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับสโมสรในยุค “ปลิงมะกัน” อย่าง ทอม ฮิคส์ และจอร์จ ยิลเล็ตต์
ครั้งนั้นอัฒจันทร์หลัก หรือ เมน สแตนด์ ขยายตัวเพิ่มขึ้นไปเป็น 8,500 ที่นั่ง ทำให้สนามขยับความจุได้เป็น 54,074 ที่นั่ง ใช้งบไปจ่อที่ตัวเลข 100 ล้านปอนด์ หรือกว่า 4.4 พันล้านบาท
กระทั่งการการขยายตัวของอัฒจันทร์ฟากฝั่ง “Anfield Road End” กำลังเป็นรูปเป็นร่างอย่างแท้จริง หลังจากโครงการนี้“จำเป็น” ต้องพับไว้ก่อนในช่วงปี 2019 เนื่องจากการระบาดโควิด-19
นาทีนี้ทุกคนสามารถมองเห็น “โครงร่าง” ที่มี “ความชัดจน”ได้จากภูมิทัศน์ในสวนสาธารณะสแตนลีย์ พาร์ค ซึ่งเป็นจุดที่หลังคาเริ่มประกอบขึ้นด้วยปั้นจั่นที่พร้อมจะวางโครงหลังคาให้เข้าที่หากันอย่างมั่นคง
บนสุดของหลังคาจะอยู่ที่ความสูงประมาณ 40 เมตรซึ่งเตี้ยกว่าอัฒจันทร์หลักอย่างเมน สแตนด์ 9 เมตร จุดนี้เพื่อให้คุณได้มุมมองบางอย่างต่อไป
โครงการเพิ่มที่นั่งนี้มีมูลค่า 80 ล้านปอนด์ กับ 7,000ที่นั่งที่จะเพิ่มขึ้น และทำให้ความจุของสนามแอนฟิลด์ ฝั่งโรด เอนด์จะมีแฟนบอล 15,967 คน รวมแล้วสนามเพิ่มขึ้นเป็น 61,015 คนติดท็อป 3 สโมสรความจุสนามมากสุดของประเทศ
กำหนดการคือแล้วเสร็จจะเรียบร้อยในฤดูร้อนปีหน้า หรือ 2023
การที่มีสนามขนาดใหญ่ และจะยึดท็อปทรีของระดับทีมในประเทศเรื่องความจุ เพื่อแสดงศักยภาพแล้ว จะทำให้สโมสรแห่งนี้ สามารถขยายฐานคนดูเพื่อสร้างกิจกรรม, การจำหน่ายบัตรและขายของในวันแข่งขันได้มากขึ้นไปอีก
สิ่งที่ยั่งยืนก็คือ การเพิ่มอัตราการจ้างงานให้กับพนักงานของสโมสร และโดยรอบ ซึ่งส่วนใหญ่ต้องใช้คนในเมืองเพื่อรองรับการดำเนินการทางธุรกิจที่จะเพิ่มขึ้นอีกมากมายในสนามแอนฟิลด์ ซึ่งถือเป็นเรื่องดีสำหรับชุมชนเป็นอย่างยิ่ง
ฟุตบอลอังกฤษเป็นเรื่องของท้องถิ่นนิยม และชุมชนเป็นหลัก ที่สโมสรทุกทีมเข้าใจดีว่า หากไม่มีคนเหล่านี้ ไม่มีวันที่ทีมจะอยู่รอดปลอดภัยอยู่ต่อไปได้ยาวๆ เหตุก็เพราะว่า สโมสรฟุตบอลจะอยู่ไม่ได้ หากไม่มีแฟนบอลพื้นถิ่น แฟนบอลคนพื้นที่
ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีการปรับปรุงสนามหญ้าใหม่ และจะประเดิมใช้ในวันที่ 31 กรกฎาคมนี้ ในการเตะปรีซีซั่นกับสตราส์บูร์ก จากฝรั่งเศส
“แอนฟิลด์” ครั้งหนึ่งในอดีต มหาบุรุษ บิลล์ แชงคลี่ย์ ตำนานกุนซือหงส์ กล่าวเอาไว้ว่า “It’s great grass at Anfield, professional grass” อันเนื่องมาจากยุคก่อนไม่มีใครจะเทียมเท่าหญ้าแห่งแอนฟิลด์ได้
อย่างไรก็ตาม ในยุคต่อมาการเงินชะงัก ทำให้แผนการปรับพื้นผิวของสนาม ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะเดือนมิถุนายน 2015 มีการวางแผนจาก บริษัท คาริลล่อน ผู้รับเหมาทำเมน สแตนด์ จะนำเครนเข้ามาทำงาน
อันที่จริง ก็สามารถจะวางระบบระบายน้ำใหม่ได้ก่อนที่จะนำเครนเข้ามาในสนาม แต่ด้วยข้อจำกัดน้ำหนักของเครน อาจส่งผลกระทบโดยตรงทำให้ ระบบระบายน้ำสูญเสียได้ ทำให้สิ่งที่แฟนบอลเห็นบ่อยๆ ก็คือ สภาพสนามที่มีรอยปะมากมายไม่เรียบเหมือนกับที่อื่นๆ
เนื่องมาจาก โครงสร้างที่ออกแบบไว้เกินอายุการใช้งานจริง จากเดิม 10 ปี ทะลุไปถึง 15 ปีด้วยกัน
ระบบสปริงเกอร์กับสายยาง ยังเป็นแบบเก่า แถมยังขาดแคลนระบบอุ่นพื้นสนามและไฟสังเคราะห์ หรือเทคโนโลยีแสงประดิษฐ์ซึ่งเป็นนวัตกรรมจากประเทศเนเธอร์แลนด์ ก่อนจะนำมาภายหลัง
ปกติแล้ว จะใช้วิธีขุดหญ้าทิ้ง และปลูกใหม่ขึ้นมาในช่วงปิดซีซั่น เนื่องจากทีมประสบปัญหาหนี้สิน จนกระทั่ง ทีมมีกำไร ตั้งแต่ปี 2014 และเมื่อลืมตาอ้าปากได้ ก็ใช้ระบบ “เดสโซ่ กราสส์มาสเตอร์ส”
เวลานั้น ลิเวอร์พูล เริ่มต้นหญ้าแบบนี้ที่สนามซ้อมที่เมลวู้ด และเมื่อเมนสแตนด์เสร็จสิ้น ก็ถึงคิวของแอนฟิลด์ที่วางระบบใหม่ทั้งหมด และเปิดใช้มาตั้งแต่ซีซั่นแบบเต็มรูปแบบเมื่อซีซั่น 2017-18 เป็นต้นมา
ที่ต้องเป็นแบบนั้น เพราะสโมสรต้องจำใจยอมทนกับสภาพพื้นสนามที่ย่ำแย่ แต่ตอนนี้ให้คำมั่นที่ว่า “เราต้องรอ เพื่อแผนการคืนชีพที่ยิ่งใหญ่กว่า”
ดังนั้นการเลือกใช้วัสดุอุปกรณ์จึงสำคัญมากๆ โดยสนามส่วนใหญ่ในอังกฤษนั้นมีสนามโอลด์ แทรฟฟอร์ด, เอติฮัด สเตเดี้ยมและนิว เวมบลีย์ เป็นแม่แบบ
เนื่องจาก “เดสโซ่” อยู่ที่ทนต่อฝนฟ้าอากาศ และเสียหายยากกว่าเดิม แต่อย่างที่ทราบกันดีว่า เทคโนโลยีมันไปไหนต่อไหน ไม่เว้นวรรคเลยกระทั่งการปลูกหญ้าในสนามบอล
“ไก่เดือยทอง” สเปอร์ส คว้ารางวัล “Grounds Team” ที่ไม่เพียงแต่สำหรับการทำงานของพวกเขาตลอดเวลาแต่ยังรวมถึงวิธีที่ทีมงานจะต้องปรับเปลี่ยนในการบุกเบิกการใช้หญ้าสนามแบบ “พรมไฮบริด” หรือ “hybrid carpet”อีกด้วย
น่าสนใจเหมือนกันว่า คำตอบสุดท้ายว่า ลิเวอร์พูล จะใช้แบบเดิมที่“ดีอยู่แล้ว” อย่าง เดสโซ่ หรือพลิกโฉมใหม่เป็น พรมไฮบริด กันไปเลย
เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องตลกเฮฮาเอามาล้อเล่นกัน เพราะเมื่อถึงเวลาจริงๆ แล้ว “ผู้ใช้จริง” คือนักเตะของทีมที่คุณเชียร์
ย้ำอีกครั้งยันกันอีกที “เรื่องหญ้า” ยังไงก็เป็น “เรื่องใหญ่”โดยแท้.....
บี แหลมสิงห์
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี