การแข่งขันฟุตบอลอาเซียน คัพ ครั้งที่ 14 หรือ Mitsubishi Electric AFF Cup 2022 รอบรองชนะเลิศ นัดแรก “ช้างศึก” ทีมชาติไทย ยกพลบุกไปดวลกับ “เสือเหลือง” ทีมชาติมาเลเซีย ในวันเสาร์ที่ 7 มกราคม 2566 นี้ เวลา 19.30 น. ที่สนามบูกิตจาลิล สเตเดี้ยม ถ่ายทอดสดทางช่อง 9 Mcot HD30

นับเป็นการโคจรมาปะทะกันเป็นนัดที่ 113 โดยก่อนหน้านี้ 112 ครั้ง มาเลเซีย เหนือกว่าด้วยการคว้าชัยชนะไปได้ 41 ครั้งไทย ชนะ37 ครั้ง และเสมอกัน 34 ครั้ง แถม ทีมไทยไม่สามารถเอาชนะมาเลเซีย ตั้งแต่ปี 2014 โดยในช่วง 9 ปี 6 เกมหลัง มาเลเซีย ชนะ ไทย 4 เสมอ 2 ซึ่งชัยชนะเกมล่าสุดคือการดวลจุดโทษในนัดชิงชนะเลิศ ศึกคิงส์คัพ 2022 ที่ จ.เชียงใหม่ แถมยังมีสถิติไม่ดีเวลาไปเตะที่บูกิตจาลิล นั่นคือไม่ชนะเลย 5 เกม และแพ้ไป 3

อย่างไรก็ตาม นับเฉพาะ Head to Head ที่เจอกันมาในอาเซียนคัพ รวม 14 นัด ไทย ชนะ 7 เสมอ 5 มาเลย์ ชนะได้แค่ 2 ครั้งเท่านั้น ขณะที่การเจอกันในรอบรองชนะเลิศ3 ครั้ง ไทย เหนือกว่า เริ่มจากครั้งแรกที่เจอกันคือ ปี 2000 ไทย ชนะ 2-0 ที่ไทยเป็นเจ้าภาพ, ครั้งที่ 2 ปี 2012 เตะแบบเหย้า-เยือนนัดแรกเสมอ 1-1 ที่มาเลเซีย ก่อนที่นัด 2 ไทย จะชนะ 2-0 เข้ารอบด้วยสกอร์รวม 3-1 และครั้งที่ 3 ปี 2018 เตะแบบเหย้า-เยือนนัดแรก เสมอ 0-0 ที่มาเลเซีย จากนั้นเสมอ 2-2 ที่ไทย ทำให้ มาเลย์ เข้ารอบด้วยกฎอะเวย์โกล์ 2-2

ขณะเดียวกัน ไทย เคยเข้ารอบรองชนะเลิศรายการนี้ได้ถึง 11 ครั้ง ผ่านเข้าชิงได้ถึง 9 ครั้ง โดยยุติเส้นทางแค่รอบตัดเชือกเพียง 2 ครั้งเท่านั้น นั่นคือ ปี 1998 แพ้ให้กับ เวียดนาม ที่ฮานอย สเตเดี้ยม 0-3 และปี 2018 ตกรอบด้วยอะเวย์โกล์ กับมาเลเซีย โดยครั้งนี้เป็นครั้งที่ 12 จาก 14 ครั้งที่ทีมไทยได้เล่นในรอบรองชนะเลิศ ส่วน มาเลเซีย ผ่านเข้าตัดเชือกเป็นครั้งที่ 10 โดย 9 ครั้งก่อนหน้านี้ชนะผ่านเข้าไปชิงได้ 4 ครั้ง และแพ้ตกรอบไปถึง 5 ครั้ง

ความพร้อมของเกมนี้ ทีมชาติไทยเข้ารอบในฐานะแชมป์กลุ่ม เอ โดยมีแต้มเท่ากับ อินโดนีเซีย ที่ 10 แต้ม แต่ลูกได้เสียดีกว่า นำทัพลุยโดย “มุ้ย” ธีรศิลป์ แดงดา ที่ซัดไปแล้ว 5 ประตูเพิ่มสถิติดาวยิงสูงสุดตลอดกาล อาเซียน คัพ เป็น 24 ประตู ประสานงานกับคู่มิดฟิลด์ประสบการณ์สูงอย่าง ธีราทร บุญมาทันกัปตันทีม และสารัช อยู่เย็น พร้อมกับได้ สรรวัชญ์ เดชมิตรพ้นแบนกลับมาเป็นตัวเสริมอีกราย

ในแนวรับ ศศลักษณ์ ไหประโคน แบ๊กซ้ายที่ถูกเปลี่ยนออกตั้งแต่ช่วงเริ่มครึ่งหลัง จะฟิตกลับมาลงสนามอีกครั้ง ทำให้ สุมัญญา ปุริสาย แม้จะลงแทนแล้วผลงานดีก็ต้องสำรองไปก่อน ส่วน เอกนิษฐ์ ปัญญา ต้องเบียดกับ พีรดนย์ ฉ่ำรัศมี ในการยึดตัวจริง นอกจากนี้ อดิศักดิ์ ไกรษร ต้องลุ้นกับ ชาญณรงค์พรมศรีแก้ว ว่าจะได้เล่นร่วมกับ ธีรศิลป์ หรือไม่ ขึ้นอยู่กับว่า มาโน่โพลกิ้ง จะใช้สูตรไหนสู้ ซึ่งมีโอกาสที่ใช้หน้าตัวเดียวเช่นกัน

ทางฝั่ง มาเลเซีย ไม่มี อาซาม อาซมี่ แบ๊กขวาดาวรุ่งจากเตรังกานู ที่ติดโทษแบนจากการโดนใบแดงนัดที่ดวลกับ เวียดนาม ทำให้ เควนติน เช็ง ปักแนวรับแทนเป็นเกมที่สอง ขณะที่ สจ๊วร์ต วิลกิ้น กองกลางที่เคยเป็นอดีตนักเตะฝึกหัดของเซาแธมป์ตันที่ซัดไปแล้ว 3 ประตู ยืนเป็นห้องเครื่องคู่กับ เบรนแดน กัง จอมเก๋าวัย 34 ปี ที่เคยเล่นกับ ซิดนี่ย์ เอฟซี ในออสเตรเลีย ถิ่นเกิด

ส่วนเกมรุก ซาฟาวี่ บิน ราชิด กัปตันทีมที่เพิ่งเซ็นสัญญายืมตัวมาอยู่กับ ราชบุรี เอฟซี จะเดินเกมร่วมกับ ไฟซาล ฮาลิม ที่ซัดไปแล้ว 3 เม็ดเช่นกัน ทำให้ เอเซเกล อเกวโร่ ที่กดไปแล้ว 2 ประตู ต้องนั่งสำรองไปก่อน โดยมี ดาร์เรน โล๊ก ยืนหน้าเป้า

11 นักเตะที่คาดว่าจะลงสนาม มาเลเซีย(4-2-3-1) 16.ซยิฮาน ฮาซมี่ บิน โมฮาเหม็ด-3.เควนติน เช็ง, 5.ชารุล นาซีมบิน ซุลปาการ์, 6.โดมินิค ตัน และ 4.รูเวนธิราน เวนกาเดซาน-8.สจ๊วร์ต วิลกิน, 18.เบรนแดน กัง-11.ซาฟาวี่ บิน ราชิด,14.อัจมาล เมฮาดี้, 7.ไฟซาล ฮาลิม และ 9.ดาร์เรน โล๊ก

ทีมชาติไทย (4-4-2 ) : กิตติพงศ์ ภูแถวเชือก-ศุภนันท์บุรีรัตน์, พรรษา เหมวิบูลย์, กฤษดา กาแมน, ศศลักษณ์ ไหประโคน-เอกนิษฐ์ ปัญญา, ธีราทร บุญมาทัน, สารัช อยู่เย็น, บดินทร์ ผาลา,ชาญณรงค์ พรมศรีแก้ว (อดิศักดิ์ ไกรษร) และ ธีรศิลป์ แดงดา