ทำสำเร็จ : ขุนพลแข้งอาร์เซน่อล เข้ามาแสดงความยินดีกับ ดาบิด ราย่า นายทวารฮีโร่ที่เซฟสองจุดโทษ ช่วยทัพ “ไอ้ปืนใหญ่” เอาชนะ เอฟซี ปอร์โต้ 4-2 ผ่านเข้ารอบ 8 ทีมสุดท้าย ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ได้สำเร็จ
“ปืนใหญ่” อาร์เซน่อล ตีตั๋วเข้าสู่รอบ 8 ทีมสุดท้ายฟุตบอลยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ได้เป็นครั้งแรกในรอบ 14 ปี หลังจากเปิดบ้านเอาชนะ ปอร์โต้ 1-0 ทำให้สกอร์รวม 2 นัด เสมอ 1-1 ก่อนจะยิงจุดโทษชนะ 4-2
ดาบิด รายา กลายเป็นพระเอกของเกมเมื่อเขาเซฟ 2 จุดโทษจาก เวนเดลล์ และ กาเลโน่ ขณะที่นักเตะเจ้าถิ่นยิงเข้าทั้ง 4 คนทำให้ อาร์เซน่อล ชนะไปในการยิงเป้า 4-2 ชัยชนะครั้งนี้ทำให้ อาร์เซน่อล ก้าวพ้นกำแพงที่ไม่เคยผ่านรอบ 16 ทีมสุดท้ายเข้าไปเล่นในรอบก่อนรองชนะเลิศใน 7 ครั้งหลังสุดที่ได้เล่นในแชมเปี้ยนส์ลีก
ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2010 นิคลาส เบนท์เนอร์ยิงจุดโทษเและกลายเป็นแฮททริกในเกมที่อาร์เซน่อลเอาชนะปอร์โต 5-0 ในแชมเปี้ยนส์ลีก เข้ารอบนี้ได้สำเร็จ ซึ่งพวกเขาใช้เวลารอคอยนานถึง 14 ปีกับ 3 วัน ในการคัมแบ๊กกลับมาเหมือนกับเขียนสคริปต์เอาไว้เพราะเจอกับ ปอร์โต้ เช่นกัน
“เป็นเวลา 14 ปี ซึ่งนานมากสำหรับสโมสรอย่างอาร์เซน่อล และมันแสดงให้เห็นว่ามันยากแค่ไหน” มิเกลอาร์เตต้า ผู้จัดการทีมอาร์เซน่อล กล่าวกับ TNT Sports “เราต้องลงลึกลงไปจริงๆ เพื่อค้นหาช่วงเวลามหัศจรรย์ในตอนจบ เรากำลังเริ่มสร้างพลังอันน่าเหลือเชื่อในสนาม เราทุกคนต่างผลักดันให้มันสำเร็จ และเราได้ร่วมกันทำสำเร็จ”
ก่อนหน้านี้ไม่กี่วัน อาร์เซน่อล สามารถกลับขึ้นจ่าฝูงของพรีเมียร์ลีก ได้สำเร็จ และสามารถเข้าใกล้ความหวังลุ้นแชมป์ยุโรป ซึ่งพวกเขาไม่เคยได้สัมผัส โดยทำได้ใกล้เคียงที่สุดนั่นก็คือรองแชมป์ปี 2006
ขณะเดียวกันในเกมนี้ก็มีประเด็นดราม่าเกิดขึ้นเมื่อ แซร์โจ้คอนไซเซา กุนซือ เอฟซี ปอร์โต้ ออกมากล่าวหา มิเกลอาร์เตต้า กุนซืออาร์เซน่อล ว่ามาดูหมิ่นครอบครัวของเขาที่ม้านั่งสำรอง
“ผลการแข่งขันเกมนี้ไม่ยุติธรรม ทีมของเราสมควรผ่านเข้ารอบต่อไป สิ่งที่ อาร์เตต้า พูดกับผมที่ม้านั่งสำรองเราเป็นภาษาสแปนิช เขาดูถูกครอบครัวของผม และเขาควรมีสมาธิกับการเป็นโค้ชทีมตัวเอง”
ซึ่ง มิเกล อาร์เตต้า กุนซือ “ไอ้ปืนใหญ่” ก็ตอบโต้เรื่องนี้ว่า“ผมไม่มีความเห็นเรื่องในเรื่องนี้ขอบคุณมากๆ” ส่วนสโมสรอาร์เซน่อล ก็ปฏิเสธที่จะตอบโต้ในเรื่องนี้
ทั้งนี้ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ คอนไซเซา มีปัญหากับกุนซือคนอื่นเพราะปี 2020 เคยกล่าวหาว่า เป๊ป กวาร์ดิโอล่า กุนซือแมนเชสเตอร์ ซิตี้ พูดจาดูถูกประเทศโปรตุเกส ของตัวเองมาแล้วในเกมที่ ปอร์โต้ บุกไปแพ้ ซิตี้ 1-3 รวมไปถึงยังกล่าวหา โธมัส ทูเคิ่ล ว่าดูถูกตัวเขาในเกมที่ ปอร์โต้ แพ้ เชลซี อีกด้วย
สำหรับการจับสลากรอบ 8 ทีมสุดท้าย จะมีขึ้นในวันศุกร์นี้ในเวลา 18.00 น. ตามเวลาประเทศไทย
ขณะเดียวกัน สถานการณ์ของทีมจากอังกฤษ ในบอลยุโรป ถ้วยยูโรป้า ลีก ที่จะเตะกันในวันพฤหัสบดีที่ 14 มีนาคม 2024 มีแค่ “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล ที่สบายที่สุด หลังจากบุกไปถล่ม สปาร์ต้า ปราก มาได้ก่อน 5-1 จะกลับมาเล่นในแอนฟิลด์ เวลา 03.00 น.
อีกสองคู่ถือว่าสถานการณ์เป็นรอง เวลา 00.45 น.“ขุนค้อน” เวสต์แฮม ยูไนเต็ด จะเปิดลอนดอน สเตเดี้ยมรับการมาเยือน “จิ้งจอกแห่งป่าดำ” ไฟรบวร์ก จากเยอรมนีซึ่งนัดแรก เวสต์แฮม บุกไปแพ้มาก่อน 0-1
ทีมของ เดวิด มอยส์ จะหมดสิทธิ์ใช้งาน เอแมร์ซอน พัลมิเอรี่ที่มีอาการบาดเจ็บเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ทำให้ แอรอน แครสเวลล์จะลงเสียบแทน ส่วนแม็กซ์เวลล์ กอร์เน่ต์ ยังเดี้ยงอยู่น่าจะกลับมาหลังโปรแกรมทีมชาติ ที่เหลือถือว่าพร้อมลงสนามมาในระบบ 4-2-3-1 เอ็ดสัน อัลบาเรซ คุมแดนกลางร่วมกับ โทมัส ซูเซ็ค โดยมี โมฮาเหม็ด คูดุส ประสานงานเกมรุกกับ เจมส์ วอร์ด-พราวส์ และลูคัส ปาเกต้า พร้อมดัน จาร์ร็อด โบเว่น ไปยืนหน้าเป้า ทีมเยือน ไฟร์บวร์ก ภายใต้การคุมทีมของ คริสเตียน สไตรซ์ ชัยชนะในเกมแรกทำให้พวกเขากุมความได้เปรียบไว้เล็กน้อย เกมนี้อาจจะต้องรอทดสอบความฟิตแนวรับอย่าง มาติอัสกินเธอร์ ส่วนที่ลงไม่ได้คือ ยอร์ดี้ มาเคนโก้, ฟิลิปป์ ไลน์ฮาร์ท, เคนเน็ธ ชมิดท์ และมักซ์ โรเซนเฟลเดอร์ ที่พากันเดี้ยงทั้งหมด จัดทัพในระบบ 4-4-2 นำโดย ริตสึ โดอัน, มักซิมิเลียนเอ็กเกสสไตน์, นิโคลัส โฮฟเลอร์, วินเซนโซ่ กรีโฟ่, โรลันด์ ซัลลายและลูคัส โฮเลอร์
จากนั้นเวลา 03.00 น. ปิดท้ายด้วย “นกนางนวล” ไบรท์ตัน แอนด์ โฮฟ อัลเบี้ยน ที่เล่นฟุตบอลยุโรปครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของสโมสร เลกแรกพวกเขาออกไปพ่ายมาแบบเละเทะ 0-4 จะเปิดถิ่นเอแม็กซ์ สเตเดี้ยม รับการมาเยือนของ “หมาป่าแห่งกรุงโรม” อาแอส โรม่า จากอิตาลี
เจ้าถิ่น ไบรท์ตัน ออกมาแพ้มาแบบหมดสภาพ 0-4 ทำให้เกมนี้ โรแบร์โต้ เด แซร์บี้ ไม่มีทางเลือกต้องสั่งลูกทีมลุยให้เต็มที่เกมนี้ไม่มียังไม่มี คาโอรุ มิโตมะ, โซลลี่ มาร์ช, ชูเอา เปโดร, เจมส์ มิลเนอร์ และแจ็ค ฮินเชลวู้ด ที่บาดเจ็บ แต่จะได้ บิลลี่กิลมอร์ ที่ติดโทษแบนในเกมลีกกลับมาคุมแดนกลางอีกครั้งที่เหลือตามรายงานถือว่าไม่มีปัญหาอะไร นำโดย ปาสกาลโกรสส์, ไซม่อน เอดินกร้า, อดัม ลัลลาน่า, อันซู ฟาติ และแดนนี่ เวลเบ๊ค
ฝั่งทีมเยือน โรม่า ภายใต้การคุมทีมของ “โอรสหมาป่า” ดานิเอลเล่ เด รอสซี่ กำลังฟอร์มดีสุดๆ ไม่แพ้ใครมา 7 เกมติดในทุกรายการ แถมเลกแรกยังตุนสกอร์ถล่มมาก่อน 4-0 กุมความได้เปรียบไว้เยอะ นัดนี้ไม่มี ราสมุส คริสเตนเซ่น และแทมมี่อบราฮัม ที่บาดเจ็บ แต่ไม่ได้ส่งผลอะไร เพราะแกนหลักรายอื่นๆอยู่กันครบ มาในระบบ 4-3-3 วาง เอดูอาร์โด้ โบเว่ คุมแดนกลางร่วมกับ เลอันโดร ปาเรเดส และลอเรนโซ่ เปเญกรินี่ โดยมี เปาโล ดิบาล่า, โรเมลู ลูกากู และสเตฟาน เอล ชาราวี่เป็นสามประสานในแนวรุก
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี