อย่างแรกคือ โลกฟุตบอลไม่ได้แตก แต่แค่ระเบิดออกมาจากทั้งสองฝั่ง หลังเกมที่ “ปีศาจแดง” แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทุบ “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล สุดสะเด่า 4-3
ตีตั๋วเข้ารอบรองชนะเลิศเอฟเอ คัพ
คงสถิติที่น่าเกรงขามเวลาเจอกันในถ้วยใบนี้ว่า ชนะ ลิเวอร์พูล ได้ถึง 11 ฤดูกาล จากการเจอกัน 15 ซีซั่น และไม่แพ้ที่โอลด์ แทรฟฟอร์ด ให้กับคู่ปรับตลอดกาลในบ้านยาวนานต่อไปเป็นปีที่ 103
นี่อาจจะเป็นแดงเดือดที่สนุกที่สุดที่เคยดูมาเลยก็ได้
ในแง่ของเกม, ในแง่ของการเสี่ยง, ในแง่ของความผิดพลาด
นี่คือทั้งหมดในแง่ของฟุตบอล
คือมันต้องทุ่มเทอะไรทุกสิ่งทุกอย่างไปให้หมด ผลลัพธ์อีกเรื่องหนึ่ง วิธีการก็เรื่องหนึ่ง
เจอร์เก้น คล็อปป์ ผู้จัดการทีมลิเวอร์พูล บอกว่า ต้องชม แมนยูฯ ที่พลิกสถานการณ์ เร่งเครื่องจนชนะ
อาหมัด ดิยัลโล่ ผู้ยิงประตูชัย และโดนไล่ออกจากใบเหลืองใบที่สอง บอกว่า เขากำลังจะส่งบอลคืนให้ อเลฮานโดร การ์นาโช่ แต่เหลี่ยมโดนกองหลังลิเวอร์พูล(คอนอร์ แบร๊ดลี่ย์)บังไลน์พอดีเลยเลือกยิง เพราะสถานการณ์มันบีบ
แน่นอนที่สุดว่า ทุกอย่างอาจจะเป็นลบเป็นบวก แล้วแต่อนุสติของแต่ละคน
...เหนือสิ่งอื่นใดฟุตบอลจบลงด้วยผลการแข่งขัน ระลึกถึงอยู่เสมอว่า “คู่แข่ง” ไม่ใช่ “ศัตรู” และสิ่งที่ไม่ควรทำก็คือเรื่องซ้ำๆ เดิมๆ
1.แฟนบอลลิเวอร์พูลจุดพลุแฟร์ไปใส่โดนกองเชียร์คนพิการของแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด
2.แฟนบอลแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ร้องเพลงเกี่ยวข้องกับโศกนาฏกรรมฮิลส์โบโรห์
บอลดีๆ แต่แฟนบอลบางคนไม่มีคลาส
เมื่อแพ้ ก็รู้จักแพ้ให้เป็นนะ และเมื่อชนะก็รู้จักเป็นผู้ชนะให้เป็นด้วย
น่าเสียดายครับ แต่ย้ำกันอีกที เกมระหว่าง แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด กับ ลิเวอร์พูล ไม่สำคัญว่าใครฟอร์มดีและใครห่วย
มันเป็นเรื่องที่คาดเดาไม่ได้อยู่เสมอ
นี่คือที่สุดแห่งคลาส
ภาพลบคือ ลิเวอร์พูล ตกรอบ มีนักบอลเจ็บเพิ่มในแนวรุกทั้ง 3 คน คือ ดาร์วิน นูนเญซ, หลุยส์ ดิอาซ และโคดี้ กั๊คโป้ แถมยังหมดสิทธิ์กวาด 4 แชมป์ แต่ก็ต้องไม่ลืมว่า ตั้งแต่ “ชาตินี้” มีฟุตบอลมาบน “โลกนี้”
ก็ยังไม่มีใครทำได้เลยในลีกใหญ่ภายในฤดูกาลเดียวกัน!!!!
ถ้าจะมองโลกให้มันไปได้ต่อไปก็คือ ลิเวอร์พูล อยู่ในโลกความเป็นจริง ส่วน แมนฯยูไนเต็ด กับ “The Last Dance”ยังคงอยู่ต่อไป
ที่ผ่านมา เราดูการแข่งขันเช่นนั้นเป็นพันครั้ง นักบอลต้องรับรู้เองดีกว่าที่จะเรียนรู้บทเรียนตอนท้ายสุด ผู้เล่นจำเป็นต้องเก็บความรู้สึกนี้เอาไว้ในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า เพื่อกลับมาเล่นเกมอีกครั้ง
แรงจูงใจมากมายเพื่อให้แน่ใจว่าผลลัพธ์จะเป็นแบบไหนในการเจอกันศึกพรีเมียร์ลีก เดือนเมษายน
เทน ฮาก ต้องปลุกลูกทีมกับถ้วยรางวัลที่มี และโควตาแชมเปี้ยนส์ลีก
คล็อปป์ ก็ต้องปลุกลูกทีมกับถ้วยรางวัลอีก 2 รายการที่ยังมีให้เล่น
หนึ่งในข้อดีของการตกรอบเอฟเอคัพ นั่นก็คือ โปรแกรมการแข่งขันของ ลิเวอร์พูล ที่ว่า ทำให้แผนงานบางอย่างทริปปิดฤดูกาลนั้นลงตัวยิ่งขึ้น ไปใช่จะเหมาไปหมดจนโฟกัสบางอย่างผิดจุด อาทิ การให้ความสำคัญกับ “แมทช์ฟิต” ของ โมฮาเหม็ดซาลาห์ ในยูโรป้า แล้วมา “หมดฟิต” ตอนเกมสำคัญกับ ยูไนเต็ด
น่าสนใจก็คือ นี่เป็นครั้งแรกในรอบ 34 ปี ที่ลิเวอร์พูลแพ้ในเอฟเอ คัพ สกอร์ 3-4 ต่อ คริสตัล พาเลซ ในรอบรองชนะเลิศเอฟเอ คัพ ช่วงต่อเวลา ปี 1990
หนนั้นเกิดขึ้นในช่วงต่อเวลาเหมือนกัน
ปี 1990 แพ้ พาเลซ 3-4 ปี 2024 แพ้ แมนยูฯ 3-4 แต่...
แต่ท้ายที่สุดใน ปี 1990 จบลงอย่างน่าสนใจคือ แมนยูฯ ได้แชมป์เอฟเอ คัพ และลิเวอร์พูล ครองแชมป์บอลลีก (ดิวิชั่น 1)
แล้วปี 2024 เอาแบบเดิมมั้ย!!!
บี แหลมสิงห์
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี