การพบกันระหว่าง แมนเชสเตอร์ ยููไนเต็ด กับ ลิเวอร์พูล แต่ละครั้งยังคงน่าสนใจ
ไม่ว่าสถานการณ์, วิธีการ หรือจะอะไรก็แล้วแต่
สิ่งที่เกิดขึ้น 2 เกมในซีซั่นนี้แตกต่างราวกับฟ้าและนรก เงื่อนไขในการเล่นมันทำให้เกมเสมอ 0-0 ที่แอนฟิลด์ กับเกมเอฟเอ คัพ ที่โอลด์ แทรฟฟอร์ด ที่จบด้วยความตื่นเต้น 4-3
ให้ความรู้สึกต่างกันอย่างลิบลับ
ตัวแปรสำคัญในชั่วโมงนี้ก็คือ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไม่ใช่ ลิเวอร์พูล
หลังจากเกมไข่ไม่แตกในบอลลีกที่แอนฟิลด์ เมื่อ 17 ธันวาคม ปีที่แล้ว มีแต่แฟนบอลที่มองไป 2 มุม ก็คือ 1.หงส์บอด 2.ผีอุด
มูลค่าทางการตลาดของคู่นี้ลดลงอย่างมาก สังเกตได้อย่างชัดเจนจาก “ตั๋วเข้าชม” ในเกมลีกนัดที่โอลด์ แทรฟฟอร์ดไม่ได้เป็นสิ่งที่ใครใคร่อยากจะแย่งชิงเมื่อเมื่อสี่ซ้าห้าปีก่อน
เพราะมันดูห่างกันชัดเจน
ห่างในที่นี่คือ ความห่างในสนาม ทั้งแผนการ แท็กติกมันไม่เคยมีหรอกที่บอลคู่นี้จะยิงกันกระจายหลายต่อหลายเกม จนเกิดสกอร์บ้าบามากมายนั่นคือ 5-0, 4-0 เลยเถิดไปถึง 7-0 อย่างที่ไม่ค่อยจะเกิดขึ้น และไม่ควรจะเป็น
อย่างไรก็ตาม เมื่อถึงเกมเอฟเอ คัพ 17 มีนาคม ที่ผ่านมาทุกสิ่งอย่างดูเหมือนว่า จะกลับตาลปัตรไปอีกทาง
การรังสรรค์เกมที่บ้าคลั่ง เกิดจากบอลแบบ “นัดเดียวจบ” การทุ่มไปแบบหมดหน้าตักคือ “เสน่ห์บอลถ้วย”
ใครจะไปคิดว่า เอริค เทน ฮาก จะกล้าใส่กล้าวัดใจเอา บรูโน่ เฟอร์นานเดส จอมทัพตัวรุกไปยืนเซ็นเตอร์แบ๊ก เปิดทิ้งบอลยาวข้ามไลน์แดนกลางไปเลย หรือเอา อันโตนี่ มายืนเป็นแบ๊กซ้าย ทั้งที่ปกติเป็นกองหน้าด้านขวา
เสี่ยงทุกอย่างในเกมที่ “ไม่มีอะไรจะต้องเสีย” เพราะว่าคุณนั้น “แพ้ไม่ได้แล้ว”
แต่ถ้าเป็นบอลลีกคุณจะกล้าเล่นแบบนี้หรือไม่
ร้อยทั้งร้อยเชื่อว่า ไม่กล้า
จุดจากเกมก่อน เอริค เทน ฮาก แสดงให้เห็นอะไรบางอย่างของสัญชาตญาณมนุษย์ นั่นคือ “ก่อนตายยังมีชัก”
สำคัญก็คือ น่าจะเห็นอะไรบางอย่างที่ว่า ฟุตบอลข้ามแดนมันจะทำให้พวกเขาได้เปรียบก็เป็นได้
แน่นอนว่า เจอร์เก้น คล็อปป์ เองก็ต้องเห็นเหมือนกันว่า เขาควรจะรับมืออย่างไร กับแผลใหญ่ที่แสดงออกให้เห็นในเกมนั้น
ฟุตบอลก็คือชีวิต เรียนรู้ได้ทุกวันอย่างไม่รู้จักจบจักสิ้นคนที่ผ่านร้อนหนาวมากมายอย่าง คล็อปป์ ก็ยังสามารถผิดพลาดได้ เสียงวิจารณ์จากเกมก่อนนั่นคือ 1.การเปลี่ยนตัว2.ไม่เด็ดขาด และ 3.ความผิดพลาดส่วนบุคคล
ทุกอย่างมาพร้อมกัน บรรลัยนะครับ
นัดก่อน คล็อปป์ ซึ่งปีนี้เปลี่ยนตัวได้ดีเกือบทุกนัดพลาดท่าอย่างแรงกับการถอด โมฮาเหม็ด ซาลาห์ กับ โดมินิค โซโบสไล ออกไปจากทีมในช่วง 15 นาทีสุดท้าย
มีการนำเปรียบแนวคิดแปลกๆ ก็คือเกมก่อนหน้านั้นที่เข้ารอบยูโรป้าแน่นอนแล้ว กลับให้ ซาลาห์ เล่นเต็มเวลา แต่เกมสำคัญกับ แมนยูฯ ถูกเปลี่ยนตัวออก
มีความเป็นไปได้หรือไม่ที่ คล็อปป์ มองว่า เกมจะจบและเดี๋ยวก็ทำได้
อันนี้ไม่รู้กับแท็กติกวันนั้น
แต่ถ้าสถานการณ์ในเวลานั้น ซาลาห์ ต้องเล่นตอนเวลาบ่ายที่อังกฤษ และเพิ่งเข้าช่วงถือศีลอดได้เพียง 5 วัน(ปีนี้วันที่ 1 เดือนรอมฎอน ฮิจเราะห์ศักราช 1445 ตรงกับ วันอังคารที่ 12 มีนาคม) ร่างกายของเขาอาจจะถึงขีดจำกัด
อันนี้ก็น่าคิดกับแท็กติกวันนั้น
แต่ความผิดพลาดและไม่เด็ดขาดเองเกิดขึ้นมากมาย ทั้งการจ่ายบอลตัดเข้ากลางจนเสียประตู 3-3 หรือการเสียบอลในเกมบุกจนเป็นที่มาของการเสียประตูนาทีที่ 120+1 เป็นประตูชัยให้ ยูไนเต็ด ทุกสิ่งมาพร้อมกันหมด
1.ร้อยวันพันปี นักบอลอย่าง ดาร์วิน นูนเญซ ไม่เคยออกบอลกั๊กๆ ในแดนหลัง เขาจะพาขึ้นมาหรือรอเตะ แต่วันนั้นสภาพไม่ได้เหมือนคิดอะไรไม่ออก
2.ตำแหน่งของ ฮาร์วี่ย์ เอลเลียตต์ กั๊ก (เผลอๆ โต๊ะด้วยซ้ำ)กับ วาตารึ เอนโดะ ในจังหวะเข้าหาบอล
3.ประสบการณ์การปิดไลน์การเล่นของ คอนอร์ แบร๊ดลี่ย์ ขนาด อาหมัด คนทำประตูก็ยังบอกว่า ปิดแค่ไลน์ส่งแต่ไม่ได้ปิดไลน์ยิง
นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นพร้อมๆ กันจนเสียประตู 3 และ 4 จนแพ้
ก่อนหน้านั้นก็คือ การทะลุหลุดขึ้นมาเป็นแผงจนเป็นไวรัล หรือการจบสกอร์ไม่เด็ดขาด รวมถึงช่วงเวลาที่ว่า ฝั่งตรงข้ามเหลือกองหลังแท้ๆ แค่ 2 คน
คุณคิดจะทำอะไรเค้าได้บ้างมั้ย
1.ช็อตซีเลคชั่น การเลือกจ่ายเป็นสิ่งที่ทุกกีฬาโค้ชสอนไม่ได้ มันเป็นเรื่องของมันสมองของมนุษย์คนนั้นๆ
2.เรื่องยิงทิ้งขว้าง เป็นธรรมดาของฟุตบอล เพียงแต่ว่า “อย่าบ่อย” และต้องเยือกเย็นเหมือนที่เป็นในสองเกมหลัง
3.คล็อปป์เองก็คงทบทวนตัวเองหลายซ้ำว่า ทำไมเขาถึงเล่นงานระบบที่แทบจะเป็น 4-0-6 หรือ 2-0-8 ของ แมนฯยูไนเต็ด ไม่ได้เลย
ภาพนี้น่าสนใจ เพราะเห็นๆ อยู่ว่า ระบบชนระบบเกมนี้ 4-3-3 แต่ในรายละเอียดแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
ในการยืนไม่เหมือนกันแน่นอนคือ เป็นการยืนกลางคู่ของยูไนเต็ด เป็นการยืนกลางหงายไฮบริดของลิเวอร์พูล
สก็อตต์ แม็คโทมิเนย์ จะได้ลงเป็นทางเลือกในการบล็อกเกมอีกคนแน่นอน ต่อให้ กาเซมิโร่ ลงได้หรือไม่ได้ พวกเขาก็ต้องใช้แบบนี้ และอาศัยการเคลื่อนที่เร็วของ ค็อบบี้ เมนู ดาวรุ่งที่แบกแดนกลางไปสู้กับเทคนิคของ อเล็กซิส แม็ค อัลลิสเตอร์ และโดมินิก โซโบสไล รวมถึง เคอร์ติส โจนส์ กับ ฮาร์วี่ย์เอลเลียตต์ ที่จะถูกส่งมาสลับบี้แน่นอน
ทีนี้ตำแหน่งการเล่นของ วาตารึ เอนโดะ จะสำคัญมาก เพราะ แมนยูฯ จะใช้แต่พวกพละกำลังในการบด ทำให้ เอนโดะ จะต้องขยับขึ้นมาอีก 5 หลาในการช่วยงานเพื่อน และต้องกลับไปโควเวอร์พื้นที่ให้ทันด้วย
เพราะเชื่อว่ายังไง เทน ฮาก ใช้วิธีการแบบเดิมคือ บอลข้ามหัว เดินทางเร็ว ให้ 3 คนข้างหน้าใช้สปีดเล่นงาน
ดังนั้นการไม่เล่นอินเวิร์ตของลิเวอร์พูล จะเหมาะมาก พวกเขาจะกดตำแหน่งของแมนยูฯได้ทุกทิศทุกทาง จะครองบอลเหนือกว่า แต่จะต้องกลับสู่ตำแหน่งให้เร็ว เพราะบอลยูไนเต็ด จะโต้กลับ และหาจังหวะจบจากเกมรุกของ ลิเวอร์พูล
ทรานซิชั่นฟุตบอลของ เทน ฮาก อาจจะไม่ดีเท่าไหร่ แต่บอลข้ามไลน์ยังไงก็น่ากลัว
....ซึ่งเราจะเห็นได้ว่า หลังจากโดนยิงไส้แตก 7-0 จนเป็นสถิติโหดของคู่นี้ที่สุดในรอบ 128 ปี มันเหมือนกับเป็นรอยแผลเป็นบางอย่างในความรู้สึก
สองนัดจากนั้น ยูไนเต็ด ไม่แพ้เลย และเล่นสองเกมด้วยระบบรับเป็นเลิศจนได้ผลเสมอที่แอนฟิลด์ และระบบหัวใจเป็นเยี่ยมจนได้ผลชนะเอฟเอ คัพ
ลิเวอร์พูล เองซะอีกที่ดูเหมือนว่า การยิงประตูคู่แข่งแบบ “ยังไงก็เข้า” ในนัดนั้น ละม้ายคล้าย “ก้าวไม่ผ่าน” ความรู้สึกบางอย่างที่ผมเองบอกไม่ถูกเหมือนกันว่า มันคืออะไร
แต่มันเหมือนกับว่า พวกเขามีความมั่นใจมากเกินไป หรือบางครั้งก็ไม่มั่นใจเลย มันหาความกลมกล่อมในการเล่นไม่
ดังนั้นถ้ามันจะกลับมาได้ต้องเกมนี้เท่านั้น เพราะนี่คือเกมสุดท้ายแดงเดือดในยุคสมัยของ คล็อปป์
คนที่สร้างอะไรไว้ต่างๆ มากมายกับทีม
ลักษณะของซีซั่นนี้เหมือนกับปี 2020-21 เพราะโปรแกรมปีนั้น เสมอกันในบอลลีกที่แอนฟิลด์ 0-0 จากนั้นในเกมเอฟเอ คัพความปวกเปียกของ ริสห์ วิลเลี่ยมส์ มีส่วนสำคัญทำให้ ยูไนเต็ด กำชัย 3-2 ในถิ่น แล้ว ลิเวอร์พูล มาเอาคืนได้ 4-2 ของการเตะบอลลีก
ว่ากันตามเชิง ไม่แปลกที่เกมนี้ ลิเวอร์พูล จะชนะ เพราะถ้าคุณพลาดหรือถึงแพ้ นั่นหมายความว่า คุณอาจจะไม่ได้เรียนรู้อะไรจากผลชนะที่ขาดลอยเลย
จนได้รับการพ่ายแพ้แบบที่ไม่ควรจะเป็นในช่วงเวลาที่ “เลเวล” ของทั้งสองทีม มันไม่ได้ใกล้เคียงกัน
บี แหลมสิงห์
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี